22 สิงหาคม 2552

แพทย์เตือน!! ดื่ม “นมไฮแคลเซียม” เปล่าประโยชน์ - สูญเงิน


Image Hosted by ImageShack.us


ประธานมูลนิธิโรคกระดูกพรุนฯ เผย “นมไฮแคลเซียม” ไม่มีผลช่วยเสริมกระดูกมากกว่านมสดธรรมดา เตือนประชาชนเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ ระบุการสะสมแคลเซียมควรเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก

ศ.กิตติคุณ นพ.เสก อักษรานุเคราะห์ ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู สภากาชาดไทย และประธานมูลนิธิโรคกระดูกพรุนในพระอุปถัมภ์ฯ เปิดเผยว่า ถึงแม้นมจะมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย และเป็นแหล่งแคลเซียมซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการเสริมสร้างกระดูกให้ แข็งแรง แต่นมไฮแคลเซียม (Hi Calcium) กลับไม่มีประโยชน์ต่อการเสริมสร้างกระดูกให้มากขึ้นกว่านมสดธรรมดา

การดื่มนมไฮแคลเซียมในขณะท้องว่าง... ร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมผงที่ผสมอยู่ในนมได้ เนื่องจากไม่มีน้ำกรดช่วยในการดูดซึม แต่ถ้าดื่มนมไฮแคลเซียมพร้อมกับรับประทานอาหาร น้ำกรดที่หลั่งออกมาจะถูกน้ำนมซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง ลดความเป็นกรดลง ทำให้กระบวนการย่อยดูดซึมแคลเซียมผงที่เติมลงไปในนมไม่สามารถละลาย และแตกตัวเป็นแคลเซียมอิสระได้ ฉะนั้น การดื่มนมไฮแคลเซียมจึงไม่ช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายได้รับแคลเซียมเพิ่มขึ้น และยังเป็นการเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์

**ดังนั้นการรับประทานแคลเซียมเสริมที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไป จึงไม่ควรรับประทานมื้อเดียวกับนม แคลเซียมเสริมจะต้องรับประทานแยกกับนมคนละมื้อ ไม่ควรอยู่ในมื้อเดียวกันโดยเด็ดขาด

ศ.กิตติคุณ นพ.เสก กล่าวเพิ่มเติมว่า ความต้องการแคลเซียมของแต่ละวัยแตกต่างกัน ในวัยเด็ก ควรได้รับปริมาณแคลเซียมประมาณ 600 มก.ต่อวัน ในวัยรุ่นควรได้รับประมาณ 1,000-1,500 มก.ต่อวัน ส่วนในวัยผู้ใหญ่ต้องการประมาณ 800-1,000 มก.ต่อวัน ขณะที่หญิงตั้งครรภ์ต้องการแคลเซียมสูงถึง 1,500 มก.ต่อวัน และผู้สูงอายุในวัยทอง ต้องการปริมาณแคลเซียมมากที่สุด เฉลี่ยประมาณ 1,500-2,000 มก.ต่อวัน ฉะนั้น การสะสมปริมาณแคลเซียมควรเริ่มตั้งแต่ในวัยเด็ก ทำได้โดยเลือกรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ข้าว ถั่ว ผัก ผลไม้ และดื่มนมวันละประมาณ 2 แก้วๆ ละ 250 มล. ซึ่งร่างกายจะได้รับแคลเซียมประมาณ 500-600 มก.จะช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง

หากต้องการรู้เรื่องการดูแลรักษาโรคข้อที่ถูกวิธี รวมทั้งการออกกำลังกายและการดื่มนมหรือรับประทานแคลเซียมเพื่อช่วยป้องกัน โรคกระดูกพรุนให้ได้ผล ขอเชิญร่วมงานสัมมนาของมูลนิธิโรคข้อ ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับมูลนิธิโรคกระดูกพรุนในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในวันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2550 นี้ ณ ห้องประชุม อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้นที่ 11-12 โรงพยาบาลราชวิถี ตั้งแต่ 7.30 – 15.30 น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

นพ.พงษ์ศักดิ์ วัฒนา ประธานมูลนิธิโรคข้อในพระราชูปถัมภ์ฯ และศ.กิตติคุณ นพ.เสก อักษรานุเคราะห์ ประธานมูลนิธิโรคกระดูกพรุนฯนำทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคข้อและกระดูกสาขา ต่างๆ พบปะประชาชน โดยมี พ.ต.อ.นพ.ธนา ธุระเจน รศ.นพ.อรรถฤทธิ์ ศฤงคไพบูลย์ นพ.วัลลภ สำราญเวทย์ นพ.อนันต์ เศรษฐภักดี รศ.พญ.วิไล คุปต์นิรัติศัยกุล พล.ต.หญิง รศ.พญ. พรฑิตา ชัยอำนวย และพ.ท.นพ.สุรวุฒิ ปรีชานนท์ มาร่วมให้ความรู้

ที่มา : http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9500000116475

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


เสริมกระดูกให้แข็งแรง


Image Hosted by ImageShack.us


โรคกระดูกพรุนสามารถป้องกันได้ตั้งเเต่วัยเด็ก... เพียงรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็ง แรง เช่น นม โยเกิร์ตธรรมชาติ นมถั่วเหลือง ผักใบสีเขียว เช่น คะน้า ตำลึง รวมถึงปลาตัวเล็กจำพวกปลาป่น กุ้งแห้ง กุ้งฝอย งาดำ และหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอด้วย

ที่มา : รายการโทรทัศน์พบหมอศิริราช

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


29 สุดยอดอาหาร คงความอ่อนเยาว์


Image Hosted by ImageShack.us



คงไม่มีผู้หญิงคนไหนปรารถนาที่จะมีตีนกาอยู่บนใบหน้าเป็นแน่ แต่เพราะตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เรื่องของริ้วรอยเป็นเรื่องที่ห้ามกัน ไม่ได้!! อยากให้ริ้วรอยลดเลือนลงไป แถมมีกระดูกที่แข็งแรง และมีพลังมากกว่านี้บ้างมั้ยล่ะ ลองเติมสุดยอดอาหารเหล่านี้ลงในเมนูของคุณดูสิ...

สดใสดู อ่อนกว่าวัย Stay looking youngเพียงแค่เลือกรับประทานอาหารที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เพียงอย่างน้อย 1 อย่าง เป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยให้เส้นผมดำขลับ เงางาม ผิวพรรณผุดผ่องและดวงตาเป็นประกาย

1. บลูเบอร์รี่ จากผลการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) สารเม็ดสีในบลูเบอร์รี่ ช่วยในการมองเห็น ขอแนะนำให้คุณลอง ปั่นบลูเบอร์รี่รวมกับนมหรือโยเกิร์ตดู


2. พริกหยวก ทั้งพริกแดง พริกเขียว และพริกเหลืองต่างมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรง ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศ กระเทียม พริกแดง แตงกว่า น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์มหาศาลจากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ดจากฝีมือของคุณเองอีก


3. กะหล่ำปลี เห็นเขียวๆ ม่วงๆ อย่างนี้รู้มั้ยว่ากะหล่ำปลีนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ, ซีและเบตาแคโรทีนที่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณ เพียงหั่นกะหล่ำปลีบางๆแล้วนำลงไปผัดกับขิงและกระเทียม เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อค่ำสำหรับตัวคุณเองแล้ว


4. วอลนัท ทองแดงในวอลนัทช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัยอันควร ลองโรยวอลนัทลงบนสลัดหรือโยเกิร์ตก็ไม่เลวนะ


5. แอปริคอท สารเบตาแคโรทีนในแอปริคอทช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยในการมองเห็นได้ดี ใส่แอปริคอทลงไปในสตูว์ไก่ ผสมกับขิงและอบเชยให้ได้กลิ่นอายแบบโมร็อคโค


6. อะโวคาโด การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และปกป้องผิวจากอันตรายที่เกิดจากแสงแดด เนื่องจากอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี บดอะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็นของทานเล่นดูก็ได้


7. สตรอเบอร์รี่ วิตามินซีและ สารบางอย่างในสตรอเบอร์รี่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือดผลไม้สีแดง สดทรงเสน่ห์แบบนี้ เพียงแช่เย็นไว้จิ้มกินกับเกลือตอนนั่งดูทีวีก็เพลินดีไม่น้อย


8. เต้าหู้ หยุดยั้งผิวที่ซีดและแห้งโดยการรับประทานอาหารอย่าง เต้าหู้ เพราะในเต้าหู้มีสารที่จะช่วยคืนสภาพผิวและป้องกันรอยเหี่ยวย่น ลองผัดรวมกับผักกรอบๆ หรือทำเป็นต้มจืดเอาไว้ทานเป็นมื้อเย็นนอกจากจะช่วยคืนสภาพผิวแล้วยังช่วย ควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี


9. ข้าวโอ๊ต เต็มไปด้วยเส้นใยที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยลดอาการตึงเครียด จึงทำให้รอยเหี่ยวย่นน้อยลง เพียง โรยข้าวโอ๊ตลงบนมูสลี่ หรือนมอุ่นๆ ใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อยแค่นี้ก็ทานได้แล้ว กระชุ่มกระชวยเหมือนแรกสาว Stay feeling young


10. กระเทียม สมุนไพรกลิ่นแรงอย่างกระเทียมมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรียล้างพิษ และป้องกันไวรัสจากโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่ไข้หวัดไปจนถึงมะเร็ง อาหารไทยส่วนใหญ่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว


11. แครนเบอร์รี่ ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะจากงานวิจัยล่าสุดพบ ว่ายังช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้ชะงัดอีกด้วย อาจจะทำเป็นแยมไว้รับประทานกับขนมปังหรือทำเป็นซอสแครนเบอร์รี่ไว้ทาไก่หรือ เนื้อย่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน


12. ลินสีด ช่วยลดอาการเจ็บตามข้อต่อ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่ร่างกายใช้ในการสร้างฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติป้องกันอาการอักเสบ ลองเติมลงในน้ำปั่นหรือโรยหน้าสลัดดูก็ได้นะ


13. กีวี วิตามินซีและสารอาหารบางอย่างในกีวีช่วยในการไหลเวียนของออกซิเจน ลดปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น โรคหืด หอบ หั่นกีวีเป็นลูกเต๋าเสียบไม้กับมะม่วงหรือกล้วย ทาด้วยน้ำผึ้ง แล้วนำไปย่าง อาจจะได้รสชาติแปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง


14. ลูกพลัม อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของไขมันซึ่งเป็นส่วนประกอบ สำคัญในเซลล์สมอง นำลูกพลัมไปเคี่ยวกับน้ำส้ม และโรยลงไปบนมูสลี่ หรือจะกินเล่น เป็นขนมขบเคี้ยวก็ไม่มีใครว่า


15. กล้วย เป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม นอกจากกล้วยจะช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารแล้วยังช่วยลดอาการท้องผูก แค่ผสมเข้ากับนม น้ำผึ้ง และอัลมอนด์ ก็จะได้อาหารเช้าที่แสนอร่อย


16. ส้ม การรับประทานส้มทั้งผลแทนการดื่มน้ำส้มจะช่วยให้ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ มิหนำซ้ำวิตามินซีในส้มยังช่วยป้องกันและเยียวยาโรคหวัด นอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายด้วย


17. ข้าวกล้อง ฮอตฮิต อินเทรนด์กันอยู่พักใหญ่ เพราะอุดมไปด้วยแร่แมงกานีสที่จะช่วยให้พลังงานกับร่างกายโดยการให้โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย ใครที่ไม่ชอบสีจัดจ้านของข้าวกล้องก็สามารถหุงข้าวกล้องรวมกับข้าวสวยได้


18. มะเขือม่วง เปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปกป้องสมองของคุณจากการถูกทำลาย เพื่อคงความฉลาดหลักแหลมของคุณไว้ ลองนำมะเขือม่วงไปทำแกง หรือรับประทานกับข้าวกล้องก็อร่อยไม่เบาแข็งแรงได้ใจ Stay healthy!


จากการศึกษาพบว่า อะไรก็ตามที่คุณรับประทานเข้าไป มีโอกาสที่จะทำให้โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ดีขึ้นได้ เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ เพื่อให้อัตราการเสี่ยงของคุณลดน้อยลง ลองอาหารพวกนี้ดูสิ!!


19. ลูกพรุน โพแทสเซียมในลูกพรุนช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือดและลดระดับความดันเลือด ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจ เสิร์ฟคู่กับโยเกิร์ตหรือกินเล่นเป็นของว่างก็ดี


20. คะน้า ช่วยให้ตับของคุณผลิตเอ็นไซม์ในการต่อต้านมะเร็ง เมื่อคุณเคี้ยวคะน้า จากการวิจัยพบว่าสามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ ฮืม...ม เลือกผัดคะน้าปลาเค็ม เป็นเมนูมื้อกลางวันดีกว่า (อ้อ อย่าลืมทุบกระเทียมลงไปด้วยนะ)


21. ผักโขม คุณจะได้รับแคลเซียมจากผักโขม ในขณะเดียวกันก็มีแมกนีเซียมที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี การรับประทานใบอ่อนของผักโขมในสลัด จะช่วยให้ป้องกันโรคกระดูกเปราะและหักง่ายเนื่องจากขาดแคลเซียม

22. ราสเบอร์รี่ จากผลการวิจัยพบว่าสารแอนตี้ออกซิเดนท์ในราสเบอร์รี่สามารถยับยั้งการเกิด เนื้อร้ายได้ ลองนำราสเบอร์รี่ไปราดด้วยช็อกโกแลตเหลวแล้วไปแช่เย็นดูสิ


23. ถั่วงอก สารประกอบ ที่พบในถั่วงอก สามารถช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด นอกจากนี้ถั่วงอกยังประกอบด้วยสารอาหารในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยเรื่องโรคเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีในวัยหมดประจำเดือนถั่วงอกผัดกับเต้าหู้ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่เบา


24. บล็อคโคลี่ การรับประทานบล็อคโคลี่เป็นประจำ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ถึง20% และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย ลวกใส่ในสลัด หรือผัดกับกุ้งสดก็ไม่เลว


25. บีทรูท เนื้อของบีทรูทอุดมไปด้วยเบต้าไซยานิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านมะเร็งรับประทานโดยการนำไปตุ๋นหรือย่าง


26. องุ่นแดง จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเลือดจับตัวเป็นก้อน และดักจับไขมันในเลือดที่จะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดแดงของคุณ ใส่องุ่นแดงลงในสลัดหรือดื่มไวน์แดงสักแก้วระหว่างมื้อค่ำ


27. ปลาที่มีไขมัน แซลมอน หรือเนื้อปลาชนิดอื่นๆ ที่มีไขมันปนอยู่บ้างนั้นสามารถช่วยปกป้องคุณจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของสมอง ว่ากันว่าให้เด็กๆ กินปลาแล้วจะฉลาด ปลานึ่ง ปลาย่างราดซอสอร่อยๆ ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี


28. มะเขือเทศ สารไลโคพีนี (lycopene) ในมะเขือเทศจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่สำคัญช่วยให้ผิวสวยอย่าบอกใครเลยเชียวล่ะเลือกเอาเลยว่าคุณอยากจะใส่ มะเขือเทศลงในอาหารอะไรบ้าง


29. หัวหอม หัวหอมที่มีกลิ่นไม่หอมเหมือนชื่อนี้จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดทั้งยังช่วย ในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวาน ซอยเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆใส่ในไข่เจียว หรือซอยใส่อาหารประเภทยำช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีทีเดียว


ที่มา : FWD

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


21 สิงหาคม 2552

"ถั่วเหลือง" แหล่งของโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ


Image Hosted by ImageShack.us


สิ่งหนึ่งที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่รับรู้ต้องตรงกันก็คือ “ถั่วเหลืองเป็นแหล่งของโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ” แต่พ้นจากนั้น ก็แทบจะไม่มีใครรับทราบข้อมูลในด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวกับมันอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นควรกินในปริมาณเท่าไร? สามารถบริโภคถั่วเหลืองและอาหารแปรรูปจากถั่วเหลืองทดแทนเนื้อสัตว์ได้ 100% หรือไม่? ฯลฯ

กลบความเชื่อ ความเข้าใจที่ผิดๆ เกี่ยวกับถั่วเหลืองให้หมดไปจากสมองก่อน เพราะบัดนี้ “คุณสมศรี เตชะวรกุล” นักโภชนาการประจำโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ผู้เชี่ยวชาญและศึกษาเรื่องถั่วเหลืองมานานนับ 10 ปี จะมาตอบทุกข้อสงสัยที่มีเกี่ยวกับแหล่งโปรตีนมหัศจรรย์ที่ชื่อ “ถั่วเหลือง” ให้หายสงสัยกันแล้ว

ถั่วเหลืองมีความสำคัญอย่างไรในด้านโภชนาการบ้าง?

“ถั่ว เหลืองนั้นเป็นอาหารที่มีมานานแล้ว ชาวจีนนำถั่วเหลืองมาทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารกว่า 3,000 ปีแล้ว กระทั่งต่อมาชาวตะวันตกก็เริ่มหันมากินถั่วเหลืองหรือเต้าหู้เหมือนคนเอเชีย เนื่องจากตอนหลังมีการวิจัยว่า ในถั่วเหลืองมีโปรตีนค่อนข้างสูง นอกจากนั้นยังมีวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย”


โปรตีนจากถั่วเหลืองสามารถทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ 100% หรือไม่?

“เนื่อง จากในถั่วเหลืองแคลเซียมมันต่ำ ไม่เหมือนในนมวัว ที่จริงในเนื้อสัตว์แคลเซียมก็ต่ำเหมือนกัน แต่ถ้าเราไม่ใช่มังสวิรัติ เวลากินเราก็ยังดื่มนมหรือกินอย่างอื่นเสริมได้ ถั่วเหลืองและอาหารจากถั่วเหลืองมีโปรตีนที่ดี แต่ถ้าอยากจะให้ได้สารอาหารครบ เราควรจะดื่มนมถั่วเหลืองที่มีการเสริมแคลเซียมหรือกินอาหารที่มีแคลเซียม เพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันก็มีนมถั่วเหลืองที่เสริมแคลเซียมหรือนมถั่วเหลืองที่ผสมงาดำ วางจำหน่าย”

ถั่วเหลืองและอาหารจากถั่วเหลืองเหมาะสำหรับใครบ้าง?

“ปกติ เราจะไม่แนะนำให้เลี้ยงทารกหรือเด็กด้วยนมถั่วเหลือง เพราะคุณค่าทางอาหารมันไม่ครบและไฟเบอร์ต่างๆ ในนมถั่วเหลืองมันค่อนข้างจะย่อยยาก เด็กทานแล้วอาจจะท้องอืดได้ ควรเลี้ยงด้วยนมแม่จะดีที่สุด”

“ถัดมาคือปัจจัยเรื่องเพศ ซึ่งมันจะมีผลบ้าง สำหรับเพศหญิง ถ้ารับประทานถั่วพวกนี้จะค่อนข้างดี เพราะในถั่วเหลืองมันจะมีสารที่เรียกว่า พฤกษเคมี หรือ ไฟโต เคมีคัล สารตัวนี้ในถั่วเหลืองจะเรียกว่า ไฟโตเอสโทรเจน ซึ่งก็คือฮอร์โมนเพศหญิง เขามีงานวิจัยออกมาว่า ถ้าผู้หญิงรับประทานถั่วเหลืองตั้งแต่อายุน้อยๆ จะช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมได้”

นอกจากโปรตีนแล้ว มีสารอาหารอื่นๆ ในถั่วเหลืองที่ตกค้างหรือทำให้อ้วนไหม?

“คาร์โบ ไฮเดรตในถั่วเหลืองจะมีไฟเบอร์ค่อนข้างเยอะ ซึ่งร่างกายมันจะไม่ค่อยย่อย แต่มันจะส่งผ่านไปที่ลำไส้ คาร์โบไฮเดรตในถั่วเหลืองนั้นแบคทีเรียที่ลำไส้ ชอบย่อยมาก ฉะนั้นสำหรับคนที่มีน้ำหนักเกิน ถ้าทานผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง มันก็อาจจะช่วยในเรื่องลดน้ำหนักได้”

“มีงานวิจัยออกมาว่า การบริโภคถั่วเหลืองมีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ เพราะมันจะไปลดปริมาณคอเลสเตอรอลตัวไม่ดีได้ เพราะถั่วเหลืองมีสารพฤกษเคมีชื่อ อัลโซ เฟโวนอยู่เยอะ”

“อัล โซ่ เฟโวน เป็นสารพฤกษเคมีตัวหนึ่งที่อยู่ในถั่วเหลืองมีปริมาณค่อนข้างมาก สารตัวนี้มันสามารถที่จะไปช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ เพราะมันจะไปจับกับน้ำดี พอน้ำดีถูกจับ มันก็จะถูกใช้ไปมาก ซึ่งมันจะออกมากับอุจจาระ น้ำดีนี้ถูกสร้างมาจากคอเลสเตอรอล ฉะนั้นถ้าน้ำดีถูกใช้ไปมาก ร่างกายก็จะพยายามเอาคอเลสเตอรอลมาสร้างเป็นน้ำดี มันก็เท่ากับลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้นั่นเอง”

เครื่องดื่มที่สกัดโปรตีนจากถั่วเหลืองที่ชื่อ “เปปไทน์” คืออะไร และมีประโยชน์หรือไม่?

“เปบไทน์ คือโมเลกุลของโปรตีนที่มาเรียงกันเป็นสายสั้นๆ ร่างกายสามารถดูดซึมได้เลย เวลาเราทานเนื้อสัตว์ นม หรือนมถั่วเหลืองสายโปรตีนที่ได้มันจะค่อนข้างยาว เมื่อลงไปถึงกระเพาะมันก็จะมีการย่อย เพื่อให้โปรตีนสั้นลง สิ่งนี่แหละที่เรียกเปปไทน์ เครื่องดื่มพวกนี้ที่ย่อยมาแล้วก็เพื่อที่จะให้ดูดซึมได้ง่าย มันจะดีสำหรับคนที่อ่อนเพลีย พอทานพวกนี้เข้าไปมันก็จะเสริม เพราะมันจะสามารถดูดซึมได้เร็ว”

“แต่ถ้าร่างกายเราปกติดี การย่อยไม่มีอะไรผิดปกติ มันก็ไม่มีความจำเป็น มันจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเราสามารถดื่มนมถั่วเหลืองธรรมดาตามปกติได้อยู่แล้วค่ะ”

ที่มา : www.healthcorners.com

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


20 สิงหาคม 2552

รู้จักบริษัท UNICITY


Image Hosted by ImageShack.us


- เป็นบริษัทมีการวิจัยต่อยอดกันมากว่า 100 ปี
- รวมเอา 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก(Rexall and Enrich) มารวมกันเป็น Unicity มีความมั่นคงสูงมาก
- เป็นบริษัทที่มีรายได้มากที่สุดติด 1 ใน 3 ของโลก แล้วเข้า ตลาดหุ้น NASDEQ
- เปิดแล้วทั่วโลก 14 ประเทศ และกำลังจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ส่วนมากจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนา
- หุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ มี 2 ตัวในโลก ตัวนึงอยู่ที่องค์การอนามัยโลก อีกตัวนึงอยู่ที่เรา!!!
- แผนการตลาดที่ยุติธรรมที่สุด ใช้้เวลาน้อยในการประสบความสำเร็จ
- การขึ้นตำแหน่ง ใช้แค่ 3 สายงาน
- แนวโน้มธุรกิจ อีก 5-10 ปีข้างหน้ามาทางสุขภาพ
- Unicity เพิ่งเข้ามาในไทย แค่ 5 ปี เรายังอยู่ต้นสายและอยู่ในช่วงที่ดีที่สุด
- มีศูนย์จำหน่ายเพียงไม่กี่จังหวัดทั่วประเทศ เป็นโอกาสที่คุณจะตั้งศูนย์จำหน่ายของจังหวัด
- สามารถตกทอดเป็นมรดกได้
- ไม่ใช่งานขายที่ทุกคนกลัว คนที่ขายจะไม่รวยในธุรกิจนี้
- ผลิตภัณฑ์ของ Unicity สามารถใช้แทนยาเคมีได้ โดยที่ไม่มีผลข้างเคียง
- ได้เข้าไปบรรจุอยู่ในหนังสือคู่มือสั่งจ่ายยาของแพทย์ทั่วโลก(PDR)
- โรงพยาบาลในไทยนำผลิตภัณฑ์ของ Unicity เข้าไปสั่งจ่ายแทนยาเคมีหลายโรงพยาบาล เช่น บำรุงราษฎร์ กล้วยน้ำไท โรงพยาบาลเวชประสิทธ์(ขอนแก่น)

และที่สำคัญเรามีระบบสู่ความสำเร็จ UNIPOWER ซึ่งจะทำให้คุณประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
- เป็นโรงเรียนสอนขั้นตอนในการทำธุรกิจ
- จัดทำสื่อและเครื่องมือช่วยในการทำธุรกิจ ในรูปแบบ cd, vcd, แคตตาล๊อคสินค้า
- จัดประชุม OPP, Super OPP, Training
- งานประดับเข็ม และประกาศเกียรติคุณ


------------------------------------------------------------------------------
Image Hosted by ImageShack.us

Physicians' Desk Reference Edition 2005 (PDR)
หนังสืออ้างอิงทางวิชาการสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ทั่วโลก


หนังสือ PDR เป็นแหล่งอ้างอิงข้อมูลทางวิชาการที่น่าเชื่อถือที่สุด สำหรับแพทย์ในการสั่งจ่ายยาหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ผ่านการอนุมัติจากสำนักงาน คุณะกรรมการอาหารและยา ของสหรัฐอเมริกาให้กับคนไข้ มีการค้นหาและใช้ข้อมูลอ้างอิงจาก PDR โดยบุคลากรทางการแพทย์จำนวนหลายล้านครั้งในแต่ละสัปดาห์ และหนังสือ PDR ฉบับปี 2005 นี้จะถูกส่งไปยัง แพทย์ในสหรัฐอเมริกากว่า 5 แสนคน รวมถึงเภสัชกรในระดับหัวหน้าประเทศอีกด้วย โดยที่บุคลากรทางการแพทย์กว่า 90 % ให้ความสำคัญอย่างมากกับ PDR อย่างมาก ในฐานะที่เป็นแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ และมั่นใจได้ว่า พวกเขาได้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับคนไข้ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของยูนิซิตี้ ที่ได้รับการคัดเลือกและรับรองสรรพคุณลงพิมพ์ใน PDR ฉบับปี 2005 ได้แก่

- Bios Life
- Core Health
- Daily Produce 24
- Life Health System
- CM Plex Cream and Capsules
- Cardio Essantials
- VISUtein


* ผลิตภัณฑ์บางตัวอยู่ในระหว่างการขอเข้า PDR และบางตัวอยู่ระหว่างการดำเนินการขอเข้ามาจำหน่ายในไทย

------------------------------------------------------------------------------
Image Hosted by ImageShack.us
คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ที่ปรึกษาด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของยูนิซิตี้



Dr.Jerry Bresnahan,M.D.
International Medicine and Cardiology
แพทย์ผู้เชียวชาญด้านหัวใจและแพทย์ประจำตัวของประธานาธิบดีสหรัฐและสมเด็จพระสันตปาปา

Sylvester A. Domme, JR., MD, FAAFP, FAEP
แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและชุมชน

Arthur D. Hagan MD,FACC
แพทย์ผู้เชียวชาญด้านหัวใจ

Dr.Neal Secrist, MD, DO
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมรรถนะทางการบิน F16,USA

Stewart A. Lonky, M.D., F.A.C.P., MBA
Special Advisory to the Board
แพทย์ผู้เชียวชาญระบบทางเดินหายใจและโรคปอด

Richard H. Nalick MD, FACOG, FACS
สูตินารีแพทย์ผู้เชียวชาญเกี่ยวกับกลุ่มสตรี

Janet Bloom
ผู้เชียวชาญและที่ปรึกษาทางกลยุทธ์เวชศาสตร์การแพทย์

Lori Finlay Hamilton, MS, APRN, BC
Nurse Practitioner, Integrative Healthcare Consultant
ผู้เชี่ยวชาญทางสูตินารีเวช

------------------------------------------------------------------------------
Image Hosted by ImageShack.us

THE STORIES: กว่า 100 ปีแห่งความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ


เร็กซอล(Rexall)
1903: จัดตั้งบริษัทที่ มลรัฐบอสตัน สหรัฐอมเริกา เป็นผู้ผลิตวิตามินรายเเรกของโลก
1978: วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตามร้านขายยา
1990: เปลี่ยนรูปแบบการจัดจำหน่ายเป็นแบบขายตรง
1991: บริษัทมียอดจำหน่ายในอัตราการเจริญเติบโต 340%
1993: เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ
1999: ได้รับการยกย่องจากนิตยสารฟอร์จูน(Fortune) ว่าเป็นบริษัทที่มีการขยายตัวเร็ว

เอนริช อินเตอร์เนชั่นแนล(Enrich International)
1972: เป็นบริษัทแรกที่สามารถนำสมุนไพรมาบรรจุแคปซูลได้สำเร็จ
1988: เป็นผู้นำธุรกิจสมุนไพรที่มีระบบการผลิตขนาดใหญ่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้เพียงพอ
1992: เริ่มต้นธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
1996: ได้รับการยกย่องจากนิตยสาร Inc. 500 ว่าเป็น 1 ใน 100 บริษัทที่เติบโตเร็วสุด

2001 - present : Rexall + Enrich = Unicity


สนใจเป็นนักธุรกิจ Unicity
กรุณาติดต่อ โทร. 080-9931869 (จุ๊) ตลอด 24 ช.ม.

หรือ
สมัครสมาชิกที่นี่

อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย


Image Hosted by ImageShack.us


1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการ เจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้

2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อ หรือมีอาการบวมในช่องท้อ

3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออนหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง

4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำ ดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหาร ปวดตามข้อ ต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง

5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่าง ฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัด จนเห็นได้ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของ การมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับ การรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำ หรือเป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรือ อาหารไม่ย่อยบ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอก หนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิว เกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานาน ควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อ มีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียก ว่าซีสต์ซึ่งควร ต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่

13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ

****ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือ ถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดง สดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการ รักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการ อันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma )คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลา นินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มี ประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ

ที่มา : FWD

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


วิตามินซีกับสิว


Image Hosted by ImageShack.us

วิตามินตัวนี้เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จักกันดี วิตามินซีจะมีมากในผัก ผลไม้ แต่เสียดายว่าวิตามินตัวนี้จะถูกทำลายเมื่อถูกความร้อน เช่นเมื่อเราผัดผักหรือเอาผลไม้มาแปรรูป และวิตามินตัวนี้มีสิ่งมีชีวิตไม่กี่ประเถทที่ไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินซี ขึ้นมาได้เองซึ่งมนุษย์เราก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ว่า

อาหารเสริมตัวนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องสิวโดยตรงแต่ก็สามารถช่วยได้ เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะช่วยเรื่องผิวพรรณของเรา และประโยชน์เรื่องภูมิต้านทานโรคต่างๆและเชื้อโรค ประโยชน์ของอาหารเสริมวิตามินซีสำหรับคนเป็นสิวคือ ช่วยให้รอยดำจางเร็วขึ้นและช่วยให้ผิวที่เป็นสิวเนียน เรียบขึ้น

หน้าที่ต่าง ๆ ของวิตามินซีมีดังนี้
- รักษาบาดแผล
- รักษาระดับคอลลาเจน (อันเป็นสิ่งสำคัญของความแข็งแรงของหลอดเลือด, เหงือก และความยืดหยุ่นของผิว
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมธาตุเหล็ก
- มีสำคัญในการช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และต่อต้านการติดเชื้อต่างๆ
- ช่วยขับสารพิษและสารเคมีที่เป็นพิษออกจากร่างกายทางการขับถ่าย
- เป็นส่วนประกอบสำคัญของฮอร์โมนที่อยู่ในไต ที่ทำให้ร่างกายสามารถอดทนต่อความเครียด

วิตามินซีนั้นเป็นหนึ่งในวิตามินหลาย ๆ ตัวที่รู้จักกันแพร่หลาย เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อร่างกายในการเผาผลาญ รวมถึงการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ วิตามินซีช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำบนผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากว่ามีรอยดำจากสิว จากการศึกษาต่าง ๆ พบว่าวิตามินซีช่วยลดการสูญเสียคอลลาเจน และยังช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งช่วยป้องกันริ้วรอย เพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน และป้องกันการติดเชื้อด้วย

วิตามินซีนั้นมีประโยชน์ในการรักษาบาดแผลเนื่องจากวิตามินซีนั้นทำ หน้าที่สร้างคอลลาเจน วิตามินซียังช่วยสร้างความต้านทานและความยืดหยุ่นในกับคอลลาเจนที่ถูกสร้าง ขึ้นมาใหม่ ซึ่งทำให้เนื้อเยื่อใหม่สามารถยืดได้โดยไม่ฉีกขาด ดังนั้นความแข็งแรงและยืดหยุ่นของผิวนั้นเป็นปัจจัยสำคัญของการรักษาแผล

วิตามินซีนั้นรู้จักกันดีในแง่ของการป้องกันโรคลักปิดลักเปิดและการต้าน อนุมูลอิสระ วิตามินซีช่วยป้องกันการถูกทำลายของเนื้อเยื่อในเซลล์และของเหลวในร่างกาย ซึ่งมีความสำคัญในการป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ ในลำไส้นั้นวิตามินซีจะปกป้องธาตุเหล็กไม่ให้เกิดปฎิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น

ขนาดรับประทาน
ตามคำแนะนำจาก U.S. Food and Nutrition Board of the institute of Medicine
ปริมาณที่ควรใช้สำหรับผู้ชายอายุ 18 ปีขึ้นไปคือ 90 มิลลิกรัมต่อวัน
สำหรับผู้หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไป ควรรับประทานที่ปริมาณ 75 มิลลิกรัมต่อวัน
หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไปและอยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ ควรรับที่ 85 มิลลิกรัมต่อวัน
หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไปและอยู่ระหว่างการให้นมบุตร ควรรับที่ 120 มิลลิกรัมต่อวัน
ผู้ที่สูบบุหรี่ ซึ่งควรได้รับเพิ่มขึ้นอีก 35 มิลลิกรัมต่อวัน

*** ปริมาณมากที่สุดที่สามารถรับประทานได้คือไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในผู้ชายและผู้หญิงอายุเกิน 18 ปีขึ้นไป (รวมถึงหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร)

ปริมาณการใช้สำหรับเด็ก (อายุต่ำกว่า 18 ปี)
เด็กอายุ 9-13 ปี ใช้ที่ปริมาณ 45 มิลลิกรัมต่อวัน และไม่ควรเกิน 1200 มก.ต่อวัน
เด็กชายอายุ 14-18 ปี ใช้ที่ปริมาณ 75 มิลลิกรัมต่อวัน และไม่ควรเกิน 1000 มก.ต่อวัน
เด็กหญิงอายุ 14-18 ปี ใช้ที่ปริมาณ 65 มิลลิกรัมต่อวัน
เด็กหญิงอายุ 14-18 ปี อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ใช้ที่ปริมาณ 80 มิลลิกรัมต่อวัน
เด็กหญิงอายุ 14-18 ปี อยู่ในช่วงให้นมบุตร ใช้ที่ปริมาณ 115 มิลลิกรัมต่อวัน

ผลข้างเคียงและคำเตือน
วิตามินซีนั้นปกติแล้วจะปลอดภัยหากได้จากอาหาร อาหารเสริมวิตามินซีนั้นก็ปลอดภัยในปริมาณที่เหมาะสมกับแต่ละคน แม้ว่าผลข้างเคียงจะมีรายงานว่าเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน จุกเสียด ช่องท้องแข็ง และปวดหัว ฟันกร่อนก็อาจเกิดขึ้นได้ในรายที่เคี้ยววิตามินซีเม็ดเป็นประจำ

ปริมาณการใช้วิตามินซีสูง อาจเกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้หลายประการ เช่น นิ่วในไต, ท้องร่วงรุนแรง คลื่นไส้ กระเพราะอาหารอักเสบ หน้าแดง เป็นลม วิงเวียน และอ่อนเพลีย การใช้ปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดเม็ดเลือดแดงตกตะกอน (เซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย) และผู้ที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคเก๊าท์ กรวยไตอักเสบ หรืออาการกำเริบในเวลากลางคืนอันมีผลมาจากโรคไต และทางเดินปัสสาวะ

การตั้งครรภ์ และการให้นมบุตร
การรับวิตามินซีจากอาหารในขณะตั้งครรภ์นั้นเป็นสิ่งที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีผลที่แน่ชัดว่าการรับประทานวิตามินซีเสริมในปริมาณที่มากกว่าที่ DRI แนะนำนั้นปลอดภัยหรือมีประโยชน์หรือไม่ มีรายงานของการเป็นลักปิดลักเปิดจากการรับประทานในปริมาณสูงมาเป็นเวลานาน ๆ เช่นในเด็กทารกที่เกิดจากแม่ที่รับประทานวิตามินซีสูงมากเป็นพิเศษในขณะตั้ง ครรภ์ ข้อมูลอันน้อยนิดนั้นไม่สามารถบอกได้ว่าการเสริมวิตามินซีอย่างเดียว หรือร่วมกับอาหารเสริมอื่น ๆ นั้นมีประโยชน์ขณะตั้งครรภ์ การคลอดก่อนกำหนดอาจมีความเป็นไปได้สูงขึ้น

วิตามินซีในนมแม่นั้นถือได้ว่าปลอดภัย และมีผลวิจัยว่า วิตามินซีที่ได้จากนมแม่นั้นจะลดความเสี่ยงในการเป็นภูมิแพ้ของเด็กได้ ยังไม่มีผลที่แน่ชัดว่าการรับประทานวิตามินซีเสริมในปริมาณที่มากกว่าที่ DRI แนะนำนั้นปลอดภัยหรือมีประโยชน์หรือไม่

ที่มา
- healthandgoodness.com
- findarticles.com
- nlm.nih.gov
เรียบเรียงและแปลโดย Acnethai.com

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


กรดไขมันโอเมก้า-3 สามารถช่วยรักษาสิวได้


Image Hosted by ImageShack.us
Fish oil


กรดไขมันโอเมก้า-3 พบได้ในน้ำมันปลา สามารถช่วยรักษาสิวได้ด้วยการบรรเทาการอักเสบที่เป็นสาเหตุของสิว และช่วยยับยั้งกระบวนการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมัน(sebum)ที่มากเกิน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการอุดตันและทำให้เกิดสิว เมื่อ sebum รวมกับแบคทีเรียสุดท้ายก็เกิดเป็นสิวอักเสบขึ้น

EPA หรือ Eicosapentaenoic acid เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยเพิ่มคุณภาพของการป้องกันการอักเสบ

EPA หรือกรดไขมันโอเมก้า-3 สามารถพบได้ในปริมาณที่เพียงพอในน้ำมันปลา หรือปลาบางประเภทที่มีน้ำมันเท่านั้น

กรดไขมันโอเมก้า-3 มีประโยชน์ในการนำไปผลิตไขมัน Prostaglandins ซึ่งมีหน้าที่หลักคือช่วยในการรักษาระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนให้อยู่ในระดับที่ เหมาะสม แอนโดรเจนเป็นฮอร์โมนที่มีผลกับการผลิต sebum และจะมีมากในช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นสาเหตุทีว่าทำไมวัยรุ่นจึงเป็นสิว

กรดไขมันโอเมก้า-3 นั้นพบได้ในปลาแอนโชวี่ ปลาเฮริ่ง ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า และปลาซาร์ดีน แต่ก็เป็นการยากที่จะได้บริโภคปลาเหล่านี้เพื่อให้ได้โอเมก้า-3 ในปริมาณที่เพียงพอ และเนื่องจากในปลาสดเหล่านี้อาจมีสารพิษตกค้าง จึงแนะนำว่าไม่ควรรับประทานปลาสดเหล่านี้เกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์

วิธีการที่จะได้รับกรดไขมันที่เป็นประโยชน์ในปริมาณที่เพียงพอเพื่อรักษา ปัญหาสิว คือการเสริมอาหารด้วยน้ำมันปลาที่มีคุณภาพและมีปริมาณ EPA สูง

หากต้องการควบคุมการอักเสบของสิว ควรเสริมน้ำมันปลาที่มีโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 น้ำมันปลาเหล่านี้มี EPA และกรดไขมัน DHAที่จำเป็นต่อการสร้างสารพรอสตาแกลดิน ตามปกติแล้วร่างกายของคนจะทำการแตกกรดไขมันโอเมก้า-6 ไปเป็น DGLA, AA, EPA และกรดไขมัน DHA

Dihomo-gamma-linolenic acid (DGLA)
Arachidonic Acid (AA)
Eicosapentaenoic Acid (EPA)
Docosahexaenoic Acid (DHA)

กรดไขมัน 4 ตัวนี้จะเปลี่ยนเป็นพรอสตาแกลดินทั้งสิ้น

ผลข้างเคียง
การใช้อาหารเสริมน้ำมันปลาในปริมาณที่มากเกินไปก็จะมีผลข้างเคียงเช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย เรอบ่อย และฝาดในปาก และยังมีผลทำให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่ทำงาน เลือดออกไม่หยุด และทำให้การควบคุมกลูโคสลดลงในคนที่เป็นเบาหวาน

ผลข้างเคียงอื่น ๆ
มีรายงานว่าบางคนเกิดอาการแพ้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นอาการขึ้นผื่นคัน อาการหลักก็คืออาหารไม่ย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นคนอ้วน บางกรณีมีรายงานว่าจะเรอมีกลิ่นคาวปลา และเมื่อใช้นานมาก ๆ ก็จะมีกลิ่นคาวออกมาจากผิวหนัง ผลข้างเคียงเกี่ยวกับเรื่องกลิ่นเท่าที่พบก็มีแค่เรอเหม็นคาว และอาหารไม่ย่อยแบบไม่รุนแรง และยังมีอาการท้องร่วงที่เกิดขึ้นได้ เคยมีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับปริมาณคอเลสเตอรอลที่อยู่ในน้ำมันปลาที่ขาย กันทั่วไป และยังมีข้อสังเกตเกี่ยวกับสารพิษตกค้างที่อยู่ในปลาเช่นสารปรอท ข้อสังเกตเหล่านี้ได้รับคำยืนยันจากผู้ผลิตว่าน้ำมันปลาที่คุณภาพดีจะไม่มี ปัญหาดังกล่าว ระดับน้ำตาลในเลือดและระดับคอเลสเตอรอลอาจสูงขึ้นได้ในบางรายที่รับประทาน น้ำมันปลา และไม่แนะนำให้ผู้เป็นโรคไตรับประทานโดยไม่ปรึกษาแพทย์

อาการอันตรายรุนแรง
ยังไม่พบว่ามีรายงานถึงอาการขั้นรุนแรงของการใช้อาหารเสริมน้ำมันปลาใน ปริมาณ 15 กรัมต่อวันในระยะยาว รายงานผลข้างเคียงที่พบส่วนใหญ่จะมีอาการกระเพราะหรือลำไส้อักเสบจากการ อาเจียนขั้นไม่รุนแรง คลื่นไส้ ท้องเสีย มีกลิ่นปาก เรอและกลิ่นลมหายใจเหม็นคาว รวมถึงปัสสาวะเหม็นคาวด้วย และอาการหลอดเลือดไม่แข็งแรงซึ่งอาจทำให้เกิดเลือดออกทางจมูก หรือรอยฟกช้ำตามส่วนต่าง ๆ ได้

ขนาดรับประทานและวิธีการ
อาหารเสริมน้ำมันปลามีหลายรูปแบบมาก ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของน้ำมันปลาธรรมชาติที่ได้จากปลาที่อยู่ในแหล่งน้ำเย็น ปลาเหล่านี้จะมีค่า EPA ที่ 30% และ DHA ที่เป็นสัดส่วนของ EPA ที่ 1.5 ยกตัวอย่างเช่น น้ำมันปลา 1 แคปซูลน้ำหนัก 1 กรัม จะมี EPA 180 มิลลิกรัม และ DHA 120 มิลลิกรัม

น้ำมันปลาในรูปแบบที่มีความเข้มข้นมากนั้นเป็นกึ่งสังเคราะห์ 85% EPA/DHA น้ำมันปลาดังกล่าวจะมี EPA กึ่งสังเคราะห์ 490 มิลลิกรัม และ DHA สังเคราะห์ 350 มิลลิกรัม ต่อหนึ่งแคปซูลที่ 1 กรัม

น้ำมันปลาที่แนะนำควรจะมีสารต้านอนุมูลอิสระเช่น โทโคฟีรอล (วิตามินอี) เพื่อป้องกันอนุมูลอิสระ และน้ำมันปลาที่มีส่วนประกอบของวิตามินเอ และวิตามินดีในปริมาณที่สูง อาจทำให้เป็นพิษได้เมื่อรับประทานนานๆ จึงไม่ควรนำมาใช้

การใช้น้ำมันปลาโดยการกินเป็นปกติทุกวันนั้นอยู่ที่ 3-5 กรัมต่อวัน และการเลือกซื้อก็ควรดูที่ฉลากด้วยว่าได้ระบุค่าของ EPA/DHA เอาไว้ด้วย การรับประทานที่ดีที่สุดคือทานพร้อมอาหาร สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรทานที่ 3 กรัมต่อวัน ขนาดการใช้ 3 กรัมต่อวันยังเหมาะสำหรับผู้เป็นโรครูมาตอยด์ แผลเปื่อย โครห์น

ที่มา
- ezinearticles.com
- pdrhealth.com
- inform.dk
เรียบเรียงและแปลโดย Acnethai.com

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


"Fasting" ช่วยลดการเกิดสิว


Image Hosted by ImageShack.us
หลายคนอาจจะงงว่าการ Fasting คืออะไรแต่ถ้าบอกว่านี่คือวิธีการ detox อย่างหนึ่งหลายคนคงร้องอ๋อ

"Fasting สามารถลดการเกิดสิวได้"


วิธีการ fasting และ detoxifying ร่างกายเพื่อลดปัญหาสิว
Fasting เป็นวิธีการรักษาสิวที่ดีอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งเป็นวิธีการรักษาจากภายในร่างกาย เป็นการขับสารพิษออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว กรรมวิธีนี้เกิดขึ้นเมื่อเราไม่ได้รับประทานอาหารใด ๆ เข้าไปในร่างกายเป็นเวลาหลาย ๆ วัน ของเหลวเช่นน้ำเปล่า, น้ำผักและผลไม้ และชาสมุนไพร เป็นเครื่องดื่มที่แนะนำให้ดื่มระหว่างกระบวนการ fasting เพื่อช่วยให้ชำระล้างและขับสารพิษที่สะสมในร่างกายให้ออกไปได้รวดเร็วขึ้น

เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไปในร่างกาย กระบวนการย่อยอาหารจะต้องใช้พลังงานของร่างกายมาก หลายคนรับประทานอาหารตลอดเวลาทั้งวันโดยระบบย่อยอาหารไม่ได้หยุดพัก ในการย่อยอาหารนั้นต้องการเอ็นไซม์ของร่างกายในปริมาณมากเพื่อย่อยอาหารที่ รับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานอาหารที่ไม่มีคุณค่าจะทำให้ร่างกายเสียเอ็น ไซม์ดังกล่าวไปโดยเปล่าประโยชน์

หากให้ระบบย่อยอาหารได้หยุดพักบ้าง เอ็นไซม์ที่ปกติร่างกายจะนำไปใช้ย่อยอาหารก็สามารถใช้ประโยชน์อย่างอื่นใน ร่างกายแทนได้ เช่นใช้ในการขจัดของเสียออกจากร่างกาย ทางหนึ่งในการขับของเสียออกจากร่างกายนั้น ก็คือทางผิวหนัง อันเป็นสาเหตุหลักในการเกิดสิว ได้มีการวิจัยแล้วว่าในร่างกายของผู้ใหญ่หนึ่งคนจะมีสารเคมีที่เป็นพิษอยู่ ประมาณ 5-10 ปอนด์

การ Fasting ด้วยน้ำผักและผลไม้นั้นได้รับการพิจารณาแล้วว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด โดยมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ และยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีปัญหาสิวด้วย น้ำผักผลไม้ที่ดีที่สุดที่สามารถดื่มได้บ่อย ๆ ระหว่างวันคือน้ำแครอท ซึ่งสามารถทำความสะอาดเลือดและช่วยให้ผิวสวยใส

ผักอีกประเภทหนึ่งที่สามารถนำมาผสมกับน้ำแครอทได้คือผักขม เป็นผักอีกหนึ่งชนิดที่ช่วยทำความสะอาดโดยการขับสิ่งสกปรกที่เป็นพิษออกจาก ลำไส้ การดื่มน้ำผักขมเดี่ยว ๆ นั้นจะให้รสชาติที่ค่อนข้างขม ดังนั้นโดยทั่วไปจึงนิยมผสมกับน้ำผักอื่น ๆ เช่นแครอท น้ำแครอทผสมผักขมนั้นช่วยทำความสะอาดระบบภายในร่างกายทั้งหมด และยังช่วยให้ตับขับสารพิษออกได้ดียิ่งขึ้น

คุณสามารถดื่มน้ำผักผลไม้ได้มากเท่าที่ต้องการ เนื่องจากให้สารอาหารได้เช่นเดียวกับอาหารโดยไม่ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงาน หนัก แนวทางทั่วไปที่แนะนำต่อวันคือ 2-4 แก้ว จะให้ประสิทธิภาพที่ดีและปลอดภัย

ทางที่ดีนั้นควรจะเข้าพบแพทย์ก่อนการเข้าโปรแกรม fasting เนื่องจากวิธีการนี้อาจไม่สามารถทำได้กันทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือแม่ที่กำลังให้นมลูก และผู้ที่เข้ารับการรักษาอาการอื่น ๆ อยู่ก่อนแล้ว หรือผู้ที่ต้องรับประทานยาอื่น ๆ

วิธีการ Fasting มีอยู่หลายวิธี และวิธีสำหรับรักษาสิว ล้วนแต่เป็นวิธีที่ค่อนข้างให้ผลดี ดังนี้
1. การ Fasting โดยการดื่มน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับ แต่ควรอยู่ภายใต้คำเตือนอย่างเคร่งครัด หรือภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญหากใช้วิธีนี้มากกว่า 3 วัน
2. การ Fasting โดยการดื่มน้ำผลไม้ เป็นวิธีที่ง่ายกว่ามาก สำหรับคนทั่ว ๆ ไปและเป็นวิธีที่ใช้ได้ตราบเท่าที่เรายังชอบที่จะดื่มน้ำผลไม้อยู่
3. การ Fasting โดยการรับประทานผลไม้ วิธีนี้อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่การ fasting โดยแท้จริง แต่เมื่อผู้ที่อาศัยในแถบที่มีผลไม้ตามฤดูกาล ให้รับประทานเป็นอาหารได้ เพียงชนิดเดียวไปตลอดสัปดาห์ เช่นแอปเปิ้ลในฤดูใบไม้ร่วง แตงโมในฤดูร้อน ระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ขึ้นไปในการ fasting ก็จะเห็นผลที่ได้ชัดเจน

ที่มา
- ezinearticles.com
- buzzle.com
แปลและเรียบเรียงโดย Acnethai.com

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


การล้างตับ" ช่วยให้อาการสิวและโรคผิวหนังต่างๆดีขึ้น


การล้างตับ (liver flush)
บางคนอาจจะเคยได้ยิน หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยิน วิธีการนี้คือการล้างตับโดยที่ไม่ต้องผ่า ไม่ต้องกินยา สามารถทำได้เองที่บ้านและได้ผลจริง ซึ่งจะช่วยเรื่องสิว ผิวพรรณและโรคต่างๆอีกมากมาย
Image Hosted by ImageShack.us
ภาพก่อนนิ่วที่อยู่ในตับ


การล้างตับ
การล้างตับ เป็นวิธีการที่ง่ายและมีประโยชน์กับร่างกายมาก 90% ของคนเราจะมีนิ่วในถุงน้ำดีและนิ่วในตับ ซึ่งนิ่วพวกนี้จะทำให้ประสิทธิภาพของตับในการดูดซับสารพิษจากอาหารหรือสิ่ง ที่เข้าไปในร่างกายลดลง เมื่อไม่มีนิ่ว ตับของคุณก็จะดูดซับสารพิษต่างๆที่เข้าไปในร่างกายได้เต็ม 100% จนกระทั่งันเกิดขึ้นมาอีก ไม่เว้นแม้แต่เด็กก็มีเหมือนกัน ถ้าตับของคุณเต็มไปด้วยนิ่วร่างกายก็จะต้องใช้กำลังส่วนอื่นขับมันออกไป ผิวของคุณก็รวมอยู่ในกระบวนการนี้ด้วย นิ่วพวกนี้เกิดจากการกินอาหารที่เป็นพิษกับร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นพิษเข้าไปในร่างกาย รวมทั้งน้ำดื่มที่เราดื่มเข้าไป

ถ้าคุณสามารถกำจัดนิ่วพวกนี้ออกไปจากร่างกาย อวัยวะต่างๆในร่างกายคุณก็จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพรวมทั้งช่วยทำให้ผิวพรรณดูดีขึ้น

Image Hosted by ImageShack.us

ภาพก้อนนิ่วจำนวนมากที่อยู่ในถุงน้ำดี


ได้มีการสำรวจผลจากคนที่เป็นสิวแล้วทำการล้างตับ (liver flushing)
คนที่เป็นสิวเรื้อรัง
-10 ใน 66 คน สิวหาย
-33 ใน 64 คน อาการสิวดีขึ้น

สิวฮอร์โมน
-2 ใน 33 คน สิวหาย
-7 ใน 33 คน อาการสิวดีขึ้น

และอาการอย่างอื่นเช่น ปวดหลัง เรื้อนกวาง และอีกหลายโรคดีขึ้น

สิ่งที่ต้องเตรียม
-น้ำแอปเปิ้ล
-ดีเกลือ(Magnesium sulfate,Epsom salt)
-น้ำมะนาว
-น้ำมันมะกอก
-ผักและผลไม้ที่ชอบ

วิธีการ(มีหลายวิธีในการทำ liver flushing ของที่ใช้ในวิธีนี้สามารถหาได้ในบ้านเรา)
1.ดื่มน้ำแอ๊ปเปิ้ล 2 ถ้วย ทุก 2 ชั่วโมงตลอด 2 วัน
2.ในสองวันนี้ทานเฉพาะผักกับผลไม้
3.ก่อนนอนให้ผสมดีเกลือ 2 ช้อนโต๊ะในน้ำหนึ่งแก้วแล้วกิน พอดื่มเสร็จให้ตามด้วยน้ำมันมะกอกครึ่งถ้วยผสมกับน้ำมะนาว 1 ลูก กินตามลงไป

Image Hosted by ImageShack.us

ภาพเมื่อทำการล้างตับตามขั้นตอนก้อนนิ่วจะออกมาเมื่อเราถ่าย


คุณสมบัติของสิ่งที่เรากินเข้าไป
-น้ำแอ๊ปเปิ้ลอุดมไปด้วยกรด malic ซึ่งจะเข้าไปทำละลายทำให้ก้อนแข็งอ่อนลง
-ดีเกลือ จะช่วยให้กล้ามเนื้อต่างๆผ่อนคลายรวมทั้งช่วยให้ท่อน้ำดีขยายออก ทำให้นิ่วนั้นผ่านออกมาได้
-น้ำมันมะกอกจะช่วยกระตุ้นการขับออกมา

ที่มา
Dr. Hulda Clark absoluteacneinfo.com
Cathy Wong altmedicine.about.com
Dr. Cluade M. Lewis curezone.com
แปลและเรียบเรียงโดย Acnethai.com

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


DETOX...ช่วยให้อาการสิวดีขึ้น


Image Hosted by ImageShack.us

อีกหนึ่งวิธีที่สามารถลดการเกิดสิวได้ ซึ่งได้ข้อมูลจากการรวบรวมจากคนที่เคยทำDETOX(การล้างลำไส้) และช่วยให้อาการสิวดีขึ้น

วิธีการต่าง ๆ ที่นำมาเสนอนี้เป็นเพียงตัวอย่างของการทำความสะอาดระบบย่อยเท่านั้น จึงควรพิจารณาถึงความเหมาะสมด้วย วิธีที่จะกล่าวนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่เคยทำความสะอาดระบบย่อยมาก่อนเลย และสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยระดับกลาง หรือทำความสะอาดเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดกับระบบย่อย ระยะห่างในการทำความสะอาดนี้โดยปกติแล้วจะอยู่ในช่วง 2-3 สัปดาห์ต่อครั้ง

1. รับประทานผักผลไม้สด
ผักสด: ยกเว้นข้าวโพด ซึ่งอาจเป็นอาหารที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ อาหารที่ดีต่อโปรแกรมทำความสะอาดลำไส้คือ บร๊อคโคลี่, ดอกกะหล่ำ, หอมใหญ่, กระเทียม, ผักกาดหัว, ผักสีเขียวและสีแดง อาหารที่รับประทานนั้นควรเป็นผักและผลไม้ในสัดส่วนที่ 40% ของมื้ออาหาร
ข้าว: ข้าวนั้นย่อยได้ง่าย เลือกเป็นข้าวกล้องจะดีกว่าข้าวขาว
ถั่ว: ถั่วเขียวและถั่วเหลืองนั้นย่อยได้ง่ายและใช้เวลาน้อยกว่า ถั่วแดงและถั่วอื่น ๆ
ผลไม้เปลือกแข็ง: ถั่วเปลือกแข็งแบบไม่เค็ม
ปลา: ต้ม, ปิ้ง, นึ่ง
เพิ่มเติม: น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์, น้ำมันเมล็ดองุ่น
ชาสมุนไพร: ชาที่ไม่มีคาเฟอีน ยกเว้นชาเขียว
น้ำเปล่า, น้ำมะนาว, น้ำผลไม้, น้ำนมข้าว
อาหารที่ต้องหลีกเลี่ยง
น้ำตาล: น้ำตาลที่ผ่านกรรมวิธี และเครื่องปรุงที่ผสมน้ำตาลผ่านกรรมวิธีเช่นซูโครส, เด็กซ์โตรส, คอร์นไซรัป, น้ำตาลทรายแดง และหลีกเลี่ยงสารให้ความหวาน
ผลิตภัณฑ์จากนม: นม, ไข่, เนย และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ได้จากนม
ข้าวสาลี และผลิตภัณฑ์ที่ผสมข้าวสาลี
ข้าวโพด: ข้าวโพดและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากข้าวโพด
ยีสต์
คาเฟอีน: กาแฟ, ทั้งแบบปกติและแบบปราศจากคาเฟอีน, ชาดำ, ชาเขียว และเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน
เนื้อแดง, แอลกอฮอล์, สารปรุงแต่งอาหาร, สารกันเสีย, ช๊อคโกแลต, อาหารที่มีไขมันสูง

2. น้ำซุปผัก
มีส่วนประกอบของแร่ธาติต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการทำความสะอาดเนื้อเยื่อ ให้ดื่มวันละ 2 ถ้วย

3. น้ำดื่ม
การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อรับประทาน psyllium, activated charcoal หรือโคลน bentonite ให้ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8-12 แก้ว ในการคำนวณปริมาณน้ำที่ดื่มเข้าไปต่อวันนั้น อย่าลืมคำนวณชาสมุนไพร และน้ำซุปผักเข้าไปด้วย

4. การอาบน้ำร้อนสลับเย็น
เป็นการเพิ่มการไหลเวียนของเลือด, เพิ่มการขับสารพิษ และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ช่วยนำสารอาหาร, ออกซิเจน และและเซลล์คุ้มกัน เพื่อขจัดเนื้อเยื่อที่เกิดจากความเครียดออกไป โดยการเผาผลาญขยะเหล่านี้ เริ่มจากการอาบน้ำร้อนเป็นเวลา 3 นาที แล้วตามด้วยน้ำเย็นไม่เกินหนึ่งนาที เริ่มกระบวนการนี้ทั้งหมดอีกหนึ่งรอบ และทุกครั้งที่จบให้จบด้วยน้ำเย็น (เช่น น้ำร้อน 3 นาที – น้ำเย็น 1 นาที – น้ำร้อน 3 นาที – น้ำเย็น 1 นาที)

ที่มา
- altmedicine.about.com
- steadyhealth.com
แปลและเรียบเรียงโดย Acnethai.com

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


เคล็ดลับการลดความมันบนใบหน้า


Image Hosted by ImageShack.us


คนที่มีผิวหน้ามันมากๆ อาจเกิดสิวอักเสบได้ง่ายกว่าคนอื่น ซึ่งเคล็ดลับการลดความมันบนใบหน้าสามารถทำได้ด้วยการล้างหน้าให้บ่อยขึ้น ประมาณวันละ 2-3 ครั้ง การใช้แป้งฝุ่นทาหน้าจะช่วยดูดซับความมันได้ส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ การออกกำลังกาย การรับประมานผักและผลไม้ ระวังไม่ให้ท้องผูก การลดความเครียดด้วยการเล่นดนตรี ฟังเพลง ฝึกหัดควบคุมจิตใจ ก็สามารถช่วยลดการทำงาน ของต่อมไขมันบนใบหน้าได้ระดับหนึ่ง

ที่มา : รายการโทรทัศน์พบหมอศิริราช

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


อาหาร...รักษาสิว


Image Hosted by ImageShack.us

อาหาร... ถือเป็นยาวิเศษที่ช่วยลดอัตราความเสี่ยงในการเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ สารอาหารที่ดีและมีคุณค่า นอกจากจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงแล้ว ยังสามารถลดการอักเสบของสิวติดเชื้อได้

สิว... เกิดจากการอุด ตันของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งถ้าไ่ม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะมีการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียที่ อาศัยอยู่บริเวณท่อต่อมไขมัน โดยจะเห็นเป็นตุ่มนูนแดง หากอักเสบเพิ่มขึ้นจะกลายเป็นหัวหนอง และสิวหัวช้างในที่สุด

การอักเสบของสิวจะทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อภูมิต้านทานของร่างกายลดต่ำลง เช่น ในช่วงที่มีประจำเดือน อดนอน อยู่ในภาวะเครียด ดังนั้นการป้องกันการเกิดสิวที่ดีที่สุดคือ การปรับสภาพร่างกายให้สมดุล เพื่อสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคด้วยการออกกำลังกาย ดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้วขึ้นไป หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ สารเสพติดของมึนเมา ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่ให้แร่ธาตุสังกะสีซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบภูมิ คุ้มกันในร่างกาย ลดอาการอักเสบและการติดเชื้อของสิว ทั้งยังช่วยให้แผลที่เกิดจากสิวหายเร็วขึ้น โดยการสร้างเนื้อเยื่อผิวใหม่ และซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียไป

นอกจากนั้น สารอาหารประเภทวิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีนในผักผลไม้สีส้ม แร่ธาตุโครเมียม และคลอโรฟิลล์ในผักสีเขียว ก็ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายได้เป็นอย่างดี

ที่มา : รายการโทรทัศน์พบหมอศิริราช โดย รศ.พญ.วรัญญา บุญชัย

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


19 สิงหาคม 2552

"ไฟเบอร์" กับการลดน้ำหนัก



เส้นใยอาหาร (Fiber) คืออะไร?
เส้นใยอาหาร คือ ส่วนของโครงสร้างของพืช เช่น กิ่ง ก้าน เมล็ด เป็นส่วนที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้มีอีกชื่อหนึ่งว่าเซลลูโลส ซึ่งมี 2 ชนิดคือ ไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ และ ไฟเบอร์ ชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ไฟเบอร์ เป็นสารอาหารที่ไม่ให้พลังงานใดๆ ถึงแม้ว่าโครงสร้างจะเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งก็ตาม เมื่อเรารับประทาน ไฟเบอร์ ซึ่งเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานเข้าไปในร่างกาย มันจะเข้าไปแย่งพื้นที่ในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้เรารู้สึกอิ่มได้เร็วและอิ่มได้นาน ช่วยลดความอยากอาหารลงไป เราสามารถลดพลังงานที่จะได้รับจากอาหารได้จึงส่งผลให้ลดน้ำหนักได้

Image Hosted by ImageShack.us


แหล่งอาหารที่จะได้รับไฟเบอร์
- ข้าวซ้อมมือ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ผลไม้ทั้งผล (ไม่ใช่น้ำผลไม้) ผลส้มแขก เมล็ดแมงลัก

ไฟเบอร์กับการลดความอ้วน
1. ไฟเบอร์ ช่วยให้อาหารเดินทางเร็วขึ้นและมีเวลาอยู่ในระบบทางเดินอาหารสั้นลง จึงช่วยลดการดูดซึม
2. ไฟเบอร์ ไปแย่งพื้นที่ในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ลดความอยากอาหารและรับประทานอาหารได้น้อยลง หากใช้ร่วมกับการควบคุมชนิดและปริมาณอาหาร และออกกำลังกายร่วมด้วยจะยิ่งให้ผลดีในการ ลดน้ำหนัก
3. จากหลาย ๆ การทดลองพบว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มี ไฟเบอร์ อย่างน้อย 2 กรัมขึ้นไปช่วยให้น้ำหนักลดลงได้

หากไม่แน่ใจว่าจะสามารถรับประทาน ไฟเบอร์ ได้อย่างเพียงพอ ก็ควรจะรับประทานในรูปของ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และในการรับประทาน ไฟเบอร์ ก็ควรที่จะรับประทานน้ำให้มากอย่างเพียงพอในแต่ละวันด้วย แต่ต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า ไฟเบอร์ ไม่ใช่ยาระบาย ที่จะช่วยระบายของเสีย ดังนั้นหากท่านต้องการระบายโดยไม่ได้ต้องการคุณประโยชน์อื่นๆของไฟเบอร์ ก็นหันกลับไปใช้ยาระบายน่าแบบเก่าๆน่าจะเหมาะสมกว่า
Image Hosted by ImageShack.us


ประโยชน์อื่นๆ ของไฟเบอร์

- ผลต่อ คลอเลสเทอรอล และ โรคหัวใจ
จาก หลายๆการศึกษาวิจัยพบว่า ไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้เท่านั้นที่สามารถช่วยลดปริมาณ คลอเลสเทอรอล ได้ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะรับประทานแทนยารักษาได้ และยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัดเช่นกัน อย่างไรก็ตามไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิด โรคหัวใจ

- ผลต่อโรค เบาหวาน
นอก จากนี้ยังมีงานวิจับพบอีกว่า ไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้จะช่วยในด้านการลดระดับน้ำตาลในเลือด จนสามารถช่วยลดการใช้ปริมาณอินซูลินในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และยังค้นพบอีกว่าคนที่รับประทาน ไฟเบอร์มากๆ จะช่วยลดโอกาสการเป็น เบาหวาน

- ผลต่ออาการท้องผูก-มะเร็งลำไส้
การรับประทาน "ไฟเบอร์ชนิดที่ไม่ละลายน้ำ" ช่วยให้การเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารดีขึ้น ส่งผลให้ร่างกายมีการขับถ่ายดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก อีกทั้งยังช่วยลดการเก็บกักของเสียในร่างกาย ลดการหมักหมมของเสียในลำไส้ ลดโอกาxxxูดซับสารพิษจากของเสียเข้าสู่ร่างกาย และที่สำคัญมันช่วยลดโอกาสในการเกิดโรค มะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วยเช่นกัน

ข้อควรระวัง
ในรายที่เป็นโรคขาดสารอาหารหรือวิตามิน หรืออยู่ในระหว่างรับประทานยาบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทาน

ที่มา : http://www.healthcorners.com/2007/webboard/view.php?board_name=health&q_id=5869

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


คลอโรฟิลล์จาก "อัลฟาฟ่า"

Image Hosted by ImageShack.us

จากการวิเคราะห์คลอโรฟิลล์จากพืชกว่า 6,000 ชนิด ทั้งจากใต้น้ำถึงบนพื้นดิน พบว่าพืชที่ให้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์และดีที่สุด คือ "อัลฟาฟ่า" เท่านั้น

อัลฟาฟ่า จัดเป็นพืชจำพวกที่มีฝัก (Legumes) หรือพืชตระกูลถั่ว ใบเลี้ยงคู่และมีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่ระบบรากของอัลฟาฟ่าสามารถชอนไชลงไปในดินถึงกว่า 130 ฟุต จึงทำให้สามารถหาอาหารได้มีประสิทธิภาพมากกว่าพืชชนิดอื่น ๆ อีกทั้งระบบการป้องกันตัวเอง หรือป้องกันสารพิษในเซลล์ของพืชอัลฟาฟ่าก็ดีกว่าพืชชนิดต่าง ๆ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จากอัลฟาฟ่ามาตั้งแต่ 2,000 ปี ก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์และใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาบริโภค จึงถูกขนานนามให้เป็น AL-FAS-FAH-SHA หรือ “ราชาแห่งอาหารทั้งมวล” ประโยชน์จากต้นอัลฟาฟ่า มักได้จากส่วนใบและลำต้น ซึ่งได้ถูกนำไปใช้สำหรับบำบัดอาการปวดข้อและอักเสบต่าง ๆ เช่น ปวดข้อ (ARTHRITIS) ไปจนกระทั่งถึงความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารและเซลล์ในตับถูกทำลาย นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า อัลฟาฟ่า ยังสามารถช่วยให้เลือดสะอาดขึ้น

อัลฟาฟ่า เป็นพืชที่ให้กรดอะมิโนจำเป็นครบทั้ง 8 ชนิด ซึ่งได้แก่ กรดอะมิโนไอโซลิวซีน ลิวซีน ไลซีน เมไธโอนีน พีนิลอะลานีน เทรโอนีน ทริปโตฟาน และวาลีน และพบว่ากรดอะมิโนเหล่านี้ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างเองได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ นอกจากนี้ในอัลฟาฟ่ายังอุดมไปด้วยวิตามินเอ บี6 ดี อี เค เกลือแร่ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม และแคลเซียม

คลอโรฟิลล์ (CHLOROPHYLL) เกือบ 100 ปี แห่งการค้นพบ!!

คลอโรฟิลล์ คือสารประกอบที่ทำให้พืชมีสีเขียวและทำหน้าที่หลัก คือ สังเคราะห์แสง (Photosynthesis) โดยการเปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และแร่ธาตุต่าง ๆ จากดินให้กลายเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งให้ก๊าซออกซิเจนที่สำคัญอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ คลอโรฟิลล์ธรรมชาติมีหลายชนิด บางชนิดสังเคราะห์แสงได้ในที่ที่มีแสงแดดเท่านั้น แต่บางชนิดสังเคราะห์แสงได้แม้ในที่ไม่มีแสง เช่น ในร่างกายของคน จึงมีการค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงาน หรือปฏิกิริยาของคลอโรฟิลล์ต่อคน พบว่า คลอโรฟิลล์ที่อยู่ในเซลล์ของพืชทั่วไปจะถูกปกป้องและปิดกั้นด้วยผนังหรือ เยื่อหุ้มเซลล์อีกทีหนึ่ง ทำให้ระบบย่อยอาหารปกติของร่างกายเราไม่สามารถบดย่อย เพื่อให้ได้สารคลอโรฟิลล์เพียงพอกับความต้องการของร่างกายได้ ถึงแม้ว่าเราจะบริโภคผักใบเขียวเป็นจำนวนมากอย่างไรในแต่ละวันก็ตาม อีกทั้งคลอโรฟิลล์โดยตัวมันเองละลายน้ำไม่ได้ จะละลายได้ในไขมัน หรือในบางรูปของแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน เราสามารถสกัดเอาเฉพาะสารคลอโรฟิลล์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์และบริสุทธิ์ โดยปราศจากการสูญเสียคุณค่าทางอาหารตามธรรมชาติ ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีอย่างเต็มที่ และเป็นคลอโรฟิลล์ชนิดละลายน้ำได้ จึงดูดซึมได้ทันทีในกระเพาะอาหาร ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกขับทิ้งไปทางระบบขับถ่าย ไม่สะสมไว้ในร่างกาย ผิดกับคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในไขมัน จะไม่ถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหาร แต่จะย่อยและดูดซึมที่ลำไส้เล็ก คลอโรฟิลล์ชนิดนี้เมื่อร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกส่งต่อไปสะสมไว้ที่ตับ (liver) ในระยะเวลาหนึ่ง อาจเกิดอันตรายต่อตับได้ องค์การอาหารและยาสหรัฐจึงให้การรับรองเฉพาะคลอโรฟิลล์ที่ละลายน้ำได้ (WATER SOLUBLE CHLOROPHYLL) เท่านั้น ว่าปลอดภัยต่อการบริโภคของคน ถึงแม้ว่าจะบริโภคในปริมาณมากต่อวัน ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นก็มีเพียงอาการท้องเสียอย่างเบาบางกรณีเท่านั้น

ด้วยสูตรโครงสร้างของโมเลกุลที่ใกล้เคียงกับโมเลกุลของเม็ดเลือดแดง ต่างกันเฉาะตรงกลางที่คลอโรฟิลล์มีแมกนีเซียม(Mg) และเม็ดเลือดแดงมีเหล็ก (Fe) จึงทำให้สีของมันต่างกัน คือ คลอโรฟิลล์มีสีเขียว แต่เม็ดเลือดมีสีแดง จากจุดนี้เองที่ทำให้คลอโรฟิลล์ถูกเรียกว่า “เลือดของพืช” (Blood of Plant) ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มากมาย สรุปตรงกันว่า คลอโรฟิลล์สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ จนทำให้ผู้วิจัยได้รับรางวัลโนเบล (Nobel Prize) ไปแล้วถึง 2 ท่านด้วยกัน คือ ดร.ริชาร์ด วินสเตตเตอร์ (DR.RICHARD WINSTATER) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสเตรีย ในปี ค.ศ.1915 และ ดร.ฮันส์ ฟิชเชอร์ (DR.HANS FISHER M.D.) นายแพทย์ชาวเยอรมัน ในปีค.ศ. 1930 ผู้ซึ่งค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างเม็ดเลือดแดงและคลอโรฟิลล์

ในบางเงื่อนไขสามารถแทนที่ศูนย์กลางของคลอโรฟิลล์ด้วยเหล็ก (Fe) จากอาหารธรรมชาติบางประเภท ทำให้อัตราการเพิ่มของเม็ดเลือดแดงดีขึ้น ทั้งนี้แมกนีเซียม (Mg) ที่หลุดออกไปจากศูนย์กลางโมเลกุลของคลอโรฟิลล์ ก็จะทำหน้าที่พาแคลเซียม (Ca) 2Ca-Mg เข้าไปอุดรูพรุนกระดูกต่าง ๆ ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นในโพรงกระดูกซึ่งมีไขกระดูก (Bone Marrow) อยู่ ก็จะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ในปริมาณที่มากขึ้น (หน้าที่ของไขกระดูก คือสร้างเม็ดเลือดแดงและปรับระดับความเป็นด่างในกระแสเลือด) จากากรทำวิจัยขององค์การอาหารและยาสหรัฐกับผู้ป่วยแผลเปิด จำนวน 3,600 ราย พบว่า คลอโรฟิลล์ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ให้เร็วขึ้น ทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติ 25% ขึ้นไปและรอยแผลเป็นลดขนาดลงกว่า 50% หรือมากกว่า จากกรณีนี้ จึงมีการวิจัยต่อเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วยภายในร่างกายอันเป็นสาเหตุ ของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ขึ้น พบว่าผู้ป่วยทั้ง 1,227 ราย กลิ่นภายในหายหมดหลังจากใช้คลอโรฟิลล์ผ่านไป 2 สัปดาห์ จึงให้การรับรองว่าเป็นยาดับกลิ่นภายใน สามารถซื้อขายได้ตามร้านขายยาและอาหารเสริม ตั้งแต่ วันที่ 11 พฤษภาคม 1990

คลอโรฟิลล์ช่วยคุณได้อย่างไร?

จากประสบการณ์ของผู้ใช้-ผู้บริโภคทั่วโลก ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจของคลอโรฟิลล์ ดังนี้...
- ช่วยให้เลือดสะอาด
- ช่วยให้ตับสะอาด เสริมการรักษาในผู่ป่วยตับอักเสบ
- เสริมธาตุเหล็กให้ร่างกาย
- ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจาการอ่อนเพลีย
- ลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบตัน
- ทำให้ระดับน้ำตาลลดลงสำหรับคนไข้โรคเบาหวาน
- บรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ โรคหืด ผื่นลมพิษ ค่อย ๆ ทุเลาจนหายได้
- ขับกรดจากข้อต่าง ๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัวทุเลาและหายได้
- ขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างในอาหาร ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข้งแรง สดชื่นขึ้น
- ป้องกันและระงับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและช่วยเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดแดง
- แก้ปัญหาคนท้องผูก ขับถ่ายดีขึ้น ริดสีดวงทวารทุเลาและหายได้
- ดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า โดยเฉพาะผู้ชายที่ใส่ถุงเท้าแล้วเหม็น
- แก้ปัญหาอาการชา บวมและส้นเลือดขอดให้ทุเลาลงได้
- ชะลอความแก่ ทำให้มีอายุยืน
- ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ใช้รักษาแผลอักเสบ แผลเปื่อย แผลเรื้อรัง แผลถลอก แผลไฟไหม้ เหงือกอักเสบ แผลในปาก คออักเสบ โดยใช้ผงคลอโรฟิลล์โรยบนแผล จะทำให้แผลหายเร็ว
- บรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป ปวดศีรษะไมเกรน
- ช่วยแก้ปัญหาเรื่องโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ ช่วยสมานแผล
- แก้ปัญหาเรื่องสิว ฝ้า ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ
- ควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนัก คลอเรสเตอรอลในเลือด
- มีผลต่อสุขภาพตาในคนที่เป็นต้อกระจก ทำให้การมองเห็นดีขึ้น
- มีสารอาหารบำรุงเส้นผม ทำให้เส้นผมหงอกดำขึ้น ช่วยลดอาการผมร่วง
- ลดอาการเมาค้าง
- ได้ทดลองกับผู้ป่วยโรคเอดส์ เมื่อรับประทานคลอโรฟิลล์เข้าไปแล้ว ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยมีระดับภูมิคุ้มกันดีขึ้นเป็นลำดับ

ที่มา
1.Bohne C.et ol: Interaction of enzyme-generate species with chlorophyll-alpha and probe bound to serum albumlns (Photochem Photobiol, 1988 Sep) (MEDLINE)
2.Acheson DW, et al : Dianostic delay due to chlorophyll in oral rehydration solution (letter) (lancet, 1987 Jan 17) (MEDLINE)
3.Chemomorsky SA,et al : Biological actives of chlorophyll derivative, (N J Med, 1988 Aug) (MEDLINE)
4.Hooper JK, et al : Photodynamic sensitizers from chlorophyll : purin-18 and chiorin p6 (Photochem Photobiol, 1988 Nov)(MEDLINE)

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


ความรู้เรื่อง...คลอโรฟิลล์


Image Hosted by ImageShack.us

สารประกอบคลอโรฟิลล์ ได้รับการค้นพบสูตรโครงสร้างทางเคมีครั้งแรก เมื่อประมาณต้นศตวรรษที่ 20 โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อ ศาสตราจารย์ ฮาน์ส ฟิชเชอร์ (Hanns Fisher,M.D.)และเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล (Noble's Prize)

เนื่องจากสามารถใช้ความเล้นลับของคลอโรฟิลล์ได้สำเร็จ และจากการค้นพบดังกล่าวทำให้เราทราบว่า สูตรโครงสร้างของคลอโรฟิลล์ มีลักษณะคล้ายคลึงกับสูตรโครงสร้างของสารประกอบ ฮีม(Heme) ที่เป็นโครงสร้างหลักของเม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell) ของคนเราอย่างมาก และจาการวิจัยทางการแพทย์หลายการวิจัยก็ยืนยันได้ว่า ร่างกายของคนเราก็สามารถนำเอาสารคลอโรฟิลล์นี้ไป เป็นสารตั้งต้น (Precursor) ในการสร้างเม็ดเลือดแดงได้เมื่อร่างกายต้องการ โดยเฉพาะในภาวะที่ร่างกายของเราเกิดความบกพร่องในการสร้างเม็ดเลือดแดง เนื่องจากขาดสารอาหาร อย่างเช่น ในภาวะโลหิตจาง (Anemia) ฯลฯ

ปกติแล้วในร่างกายของคนเราจะต้องมีการสร้างและทำลายมากกว่า 2.5 ล้านเซลล์ และร่างกายจะต้องสร้างขึ้นมาทดแทนในจำนวนที่เท่าๆกัน และยิ่งในคนที่ร่างกายต้องทำงานหนัก ยิ่งพบว่าการทำลายของเม็ดเลือดแดงในร่างกายของคนเราก็จะมากขึ้นตามไปด้วย

ดังนั้นภาวะที่ร่างกายของเราก็อาจจะเกิดความบกพร่องในการสร้างเม็ดเลือดแดง เนื่องจากขาดสารตั้งต้นในการสร้าง และหากปล่อยให้เกิดความบกพร่องดังกล่าวนานๆ ก็อาจจะทำให้เกิดความผิดปกติต่างๆต่อร่างกายของเราตามมาได้ ทั้งนี้เนื่องจากการที่เม็ดเลือดแดง ถือเป็นระบบขนส่งสารอาหารที่สำคัญที่สุดในร่างกาย ดังนั้นหากขาดเม็ดเลือดแดงก็อาจจะทำให้ร่างกายเกิดความบกพร่องในการทำงานของเซลล์และอวัยวะต่างๆได้

มนุษย์เราเริ่มใช้คลอโรฟิลล์ในการแพทย์เมื่อปี 1940 พร้อมๆกับที่ใช้เป็นยาสีฟัน ยาดับกลิ่นปาก และได้มีการใช้คลอโรฟิลล์ในการบำบัดโรค เช่นรักษาโรคทางเดินอาหาร ลำไส้ใหญ่ โรคผิวหนังชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะแผลเรื้อรังบทบาทในการสมานแผล

กล่าวคือคลอโรฟิลล์สามารถใช้รักษาแผล เรียกเนื้อให้แผลหายเร็วกว่าปกติ มีบทบาทเป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ทั้งยังดับกลิ่นเหม็นของแผล และสามารถทำความสะอาดแผลให้สะอาดได้ดีกว่ายาตัวอื่น

ที่มา : http://www.banpai.com/board/index-topic43.html

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


ยาระบาย...อันตราย!!


Image Hosted by ImageShack.us

ยาระบาย (Laxative) ที่เป็นที่นิยมกันในบ้านเรามาก ส่วนใหญ่จะเป็นยาระบายที่มีฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนตัวของลำไส้ เช่น ยาระบายมะขามแขก... ฯลฯ ยากลุ่มนี้จะเพิ่มการหลั่งน้ำและเกลือแร่ และกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ทำให้ถ่ายอุจจาระออกมา ถ้าใช้มากไปจะทำให้ขาดน้ำและเกลือแร่บางอย่างในร่างกาย การทำงานของลำไส้ใหญ่ลดลง ผู้ใช้ยาระบายเป็นประจำจะไม่สามารถถ่ายอุจจาระได้ โดยปราศจากการกระตุ้นของตัวยา ทำให้เป็นโรคท้องผูกเรื้อรังยากต่อการแก้ไข
ทางออกที่ง่ายที่สุดคือ ควรรับประทานอาหารที่มีกากใย(Fiber)สูง
ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน


>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


อาการที่เกิดจากสารพิษตกค้างสะสมในร่างกาย

Image Hosted by ImageShack.us


สารพิษตกค้างที่สะสมในร่างกาย หากขับมาไม่หมด จะเป็นบ่อเกิดของอาการเหล่านี้

- อาการปวดศีรษะบ่อย หงุดหงิด
- ปวดเมื่อยหลัง ไหล่ คอ
- มีแผลร้อนในในปากเป็นประจำ
- ดูดซึมสารอาหารจำพวกแป้งมาก และระบบเผาผลาญทำงานน้อย ทำให้ร่างกายอ้วน
- ขับถ่าย และละลายสารพิษไม่ออก จะเกิดสิวเสี้ยนบนใบหน้า และฝ้าดำบนใบหน้า
- อ่อนเพลีย ง่วงนอน สมาธิไม่ดี ความจำเสื่อม
- ประสาทตึงเครียด และร่างกายไม่แข็งแรง เพศสัมพันธ์เสื่อม
- หน้าตาหมองคล้ำ ไม่ขาวสดใส ผิวพรรณหยาบกร้าน
- ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก ถ่ายไม่ออก
- เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ และผายลมบ่อยๆ
- ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นประจำ
- ปวดศีรษะ คลื่นเหียน อาเจียน เวียนศีรษะ และมีไข้ต่ำๆ ตลอดเวลา
- เหนื่อยง่าย ปากเหม็น ปากเปื่อย มีกลิ่นตัวแรง
- เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นแผล และเป็นฝีบ่อยๆ
- มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษได้ง่าย
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อและกระดูก ตลอดจนรูมาตอยด์
- โรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ ต่อมน้ำเหลือง
- ริดสีดวงทวารภายนอก หรือภายใน

ดังนั้น ผู้ที่เป็นโรคหรือมีอาการดังกล่าวนี้ จึงควรได้รับการล้างลำไส้ เพื่อขจัดของเสียและสารพิษที่คั่งค้างออกจากร่างกาย ทั้งยังสามารถลดความเสี่ยงของโรคด้วย

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


ประโยชน์ของการ DETOX


Image Hosted by ImageShack.us

1. ช่วยทำความสะอาดลำไส้ อุจจาระ แบคทีเรียที่เป็นโทษต่อร่างกาย และสารพิษต่างๆจะถูกชะล้างออกไป ลดการสะสมสารพิษเหล่านี้ เมื่อสารพิษเหล่านี้ถูกกำจัดออกไปลำไส้จะ สามารถทำงานได้ตามปกติ

2. เป็นการบริหารกล้ามเนื้อลำไส้ ของเสียที่ตกค้างมีผลทำให้ลำไส้อ่อน แอลงและทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ การล้างลำไส้จึงเป็นการช่วยส่งเสริม กล้ามเนื้อลำไส้ให้ทำงานได้มากขึ้น โดยปกติลำไส้มีหน้าที่กำจัดของเสียก็อาจเป็นไปโดยไม่สมบูรณ์ กล้ามเนื้อลำไส้ที่แข็งแรงและทำงานได้ อย่างเป็นจังหวะจะช่วยทำให้การผลักดันของเสีย เช่น กากอาหารและ อุจจาระออกจากลำไส้ได้เร็วขึ้น และไม่เกิดสารตกค้างจนกลายเป็นพิษ

3. ทำให้ลำไส้มีขนาดเป็นปกติ เมื่อลำไส้ทำงานอย่างผิดปกติ จะส่งผลให้โครงสร้างและขนาดลำไส้เปลี่ยนไป ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา การสวนล้างลำไส้ ช่วยให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนตัว ช่วยลด อาการบวมหรือโป่งพองของลำไส้ อันเนื่องมาจากการที่มีของเสียอุดตัน บริเวณนั้น ทำให้ลำไส้มีรูปร่างปกติตามธรรมชาติ ซึ่งการรักษาทางยา ทานอาหารบางอย่างเฉพาะ บางรายท้องเดินระยะหนึ่งแล้วจะมีอาการท้องผูก อุจจาระแข็ง หรือการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ อาจทำให้ลำไส้กลับคืนสู่รูปทรงปกติได้เพียง ระยะสั้นเท่านั้น

4. กระตุ้นจุดตอบสนองของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งอวัยวะทุก ส่วนจะมีการทำงานเชื่อมต่อกับลำไส้ โดยจุดตอบสนอง การล้างลำไส้เป็นการช่วยกระตุ้นจุดที่ว่านี้ซึ่งจะส่งผลดีต่อร่างกาย โดยรวม เช่น ตับ ถุงน้ำดี ตับอ่อน ไต ต่อมน้ำเหลืองและการหมุนเวียน ของเลือด เป็นต้น

5. ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำ 60-70% การสวนล้างลำไส้ด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือแร่ ร่างกายโดยรวมจะ สามารถดูดซึมน้ำเหล่านั้นไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ เพื่อให้เซลล์เหล่านั้น ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับละลายและเจือจาง เมือกที่สะสมอยู่ในผนังลำไส้ให้ขับออกได้สะดวกขึ้น

เมื่อแบ่งตามกลุ่มอาการของโรค การ ดีท็อกซ์ สามารถช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ได้ดังนี้...

- กลุ่มของโรคทางเดินอาหาร : โรค ท้องผูก , โรคลำไส้ระคายเคือง, โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ, อาการท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย, อาการมีกลิ่นปากเหม็น, ลิ้นเป็นฝ้า แผลเปื่อยในปาก

- กลุ่มของโรคภูมิต้านทาน : โรคภูมิแพ้ , โรคหอบหืด, โรคลมพิษ ผื่นแพ้, ภาวะภูมิต้านทานต่ำ, โรคภูมิต่านทานไวเกินอื่นๆ เช่น รูมาตอยด์ SLE

- กลุ่มโรคความเสื่อมของร่างกาย : ผิวพรรณเหี่ยวย่น , โรคข้อเสื่อม

- กลุ่มโรคมะเร็ง

- กลุ่มโรคทางจิตใจ : โรคเครียด , โรคนอนไม่หลับ, โรคทางกายที่เกิดจากทางใจอื่นๆ


ที่มา : การอบรมผลิตภัณฑ์ของ บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์)

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


ทำไมต้องทำ DETOX


Image Hosted by ImageShack.us

การ DETOX จะช่วยทำความสะอาดและขจัดสิ่งสกปรกของเสีย กาก อาหาร รวมทั้งสารพิษที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ให้หมดไป เนื่องจากของเสียเหล่านี้ มักถูกขับถ่ายออกได้ไม่หมด จึงตกค้างอยู่ในลำไส้ บางครั้งจะเกาะติดอยู่ตามผนัง ของลำไส้เป็นตะกรัน เป็นอุจจาระ เนื้อเยื่อของเซลล์ที่ตาย พยาธิและน้ำเมือกที่ถูกสะสมไว้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นผลร้ายต่อร่างกายจนทำให้เกิดอาการต่างๆ ของโรค เช่น

- ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก ถ่ายไม่ออก
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ และผายลมบ่อยๆ
- ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นประจำ
- ปวดศีรษะ คลื่นเหียน อาเจียน เวียนศีรษะ และมีไข้ต่ำๆ ตลอดเวลา
- เหนื่อยง่าย ปากเหม็น ปากเปื่อย มีกลิ่นตัวแรง
- เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นแผล และเป็นฝีบ่อยๆ
- มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษได้ง่าย
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อและกระดูก ตลอดจนรูมาตอยด์
- โรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ ต่อมน้ำเหลือง
- ริดสีดวงทวารภายนอก หรือภายใน เป็นต้น

ดังนั้น ผู้ที่เป็นโรคหรือมีอาการดังกล่าวนี้ จึงควรได้รับการล้างลำไส้ เพื่อขจัดของเสียและสารพิษที่คั่งค้างออกจากร่างกาย ทั้งยังสามารถลดความเสี่ยงของโรคด้วย

ที่มา : การอบรมผลิตภัณฑ์ของ บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์)

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


DETOX คืออะไร


ท็อกซิน (Toxin) คือ สารพิษ ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีในร่างกายเราซึ่งเกิดได้หลายวิธี ทั้งเกิดจากการกินที่ผิด กับเกิดจากระบบต่าง ๆ ในร่างกายของเราบกพร่อง หรือแม้แต่การเกิดความเครียดก็ก่อให้เกิดท็อกซินได้ พูดง่าย ๆ การกินและการปฏิบัติตัวผิด ๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดท็อกซินในตัวเรา

Image Hosted by ImageShack.us


ดีท็อกซ์ (Detox) คือ การล้างพิษ ย่อมาจาก Detoxification คือ การกำจัดท็อกซิน (Toxin) ออกจากร่างกาย โดยการนำเอาสารพิษออกจากร่างกายของเราให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ตกค้างอยู่ในร่างกายจนกลายเป็นพิษเป็นภัยต่อสุขภาพ เมื่อคนเราได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้าไปนั้น กลไกต่าง ๆ ในร่างกายจะทำหน้าที่ขจัดออกมา แต่หากได้รับเป็นจำนวนมากจนเกินไป และสะสมมาเป็นเวลานาน ระบบก็ไม่สามารถที่จะกำจัดได้หมด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคนเรารับประทานอาหารเข้าไป เกิดการย่อยสลาย ทำให้เกิดคราบตกค้างเกาะอยู่ตามผนังลำไส้ หมักหมมอยู่ทุกวี่ทุกวัน จนกลายเป็นกากสารพิษ ปิดกั้นไม่ให้ร่างกายเรารับสารอาหารได้เต็มที่ และลำไส้เราต้องดูดรับพิษร้ายเหล่านี้กลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนของโลหิตเรา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากได้รับเป็นจำนวนมากจนเกินไป และสะสมมาเป็นเวลานาน ระบบก็ไม่สามารถที่จะกำจัดได้หมด

ดังนั้นการขจัดของเสียและสารพิษออกจากร่างกายก็เหมือนการฟอกชำระล้างระบบต่างๆ โดยเฉพาะระบบการย่อยดูดซึมอาหารและระบบไหลเวียนโลหิตให้พ้นจากสภาวะเป็นพิษ

ที่มา : การอบรมผลิตภัณฑ์ของ บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์)

>>>อ่านบทความอื่นๆ<<<


ชุดลดน้ำหนัก - กระชับสัดส่วน



Image Hosted by ImageShack.usImage Hosted by ImageShack.us
Image Hosted by ImageShack.us

ทั้งชุดราคา 4,635 บาท
ราคาสมาชิก 3,710 บาท (64 PV)


ใน 1 ชุด ประกอบด้วย
1. เนเจอรส์ ที (Nature's T Infusion)
2. ไบออสไลฟ์ เอสเอ็กซ์(Bios Life SX)
3. กาแฟเห็ดหลินจือ (Bio Reishi Coffee)


วิธีรับประทาน
- แช่ชา 1 ถุงในน้ำร้อนจัด 250 มิลลิลิตร นาน 2-5 นาที แล้วดื่มก่อนนอนหรือหลังอาหารเย็น ควรดื่มติดต่อกัน 14 วัน หลังจากนั้นควรดื่มสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
- ชงไบออสไลฟ์ สลิม กับน้ำเย็นประมาณ 300 ซีซี เขย่าให้เข้ากันแล้วดื่มก่อนอาหาร 5-10 นาที อย่างน้อยวันละ 2 มื้อ
- ชงกาแฟเห็ดหลินจือ 1 ซอง ผสมน้ำเดือด 1 ถ้วยกาแฟ ดื่มระหว่างมื้อกลางวัน - มื้อเย็น


คำแนะนำ
- สำหรับผู้ที่ถ่ายง่าย ควรแช่ชานานประมาณ 1-2 นาทีก็เพียงพอแล้ว
- สำหรับผู้ที่ถ่ายยากหรือท้องผูกเป็นประจำ ควรแช่ชานานประมาณ 5-8 นาที
- สำหรับผู้รับประทานมังสวิรัต ดื่มชาติดต่อกัน 3 วัน หลังจากนั้น ควรดื่มสัปดาห์ละครั้ง
- ห้ามใช้ชาในสตรีมีครรภ์หรือสตรีที่อยู่ในระหว่างให้นมบุตร
- ไม่ควรใช้ชากับผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ขั้นรุนแรง
- สำหรับผู้ที่มียารับประทานก่อนนอนไม่ควรดื่มชา
- กาแฟเห็ดหลินจือ มีคาเฟอิน เท่ากับ โอวัลตินเด็ก 1 แก้ว
- เริ่มเห็นผลตั้งแต่สัปดาห์แรกหรือภายใน 30 วัน
- ควรทานต่อเนื่องอย่างน้อย 90 วัน (3เดือน) เพื่อให้น้ำหนักอยู่ตัว


บทความที่เกียวข้องกับผลิตภัณฑ์
- Detox คืออะไร
- ทำไมต้อง Detox
- ประโยชน์ของการ Detox
- อาการที่เกิดจากสารพิษตกค้างสะสมในร่างกาย
- www.bioslifeslim.com
- "ไฟเบอร์" กับการลดน้ำหนัก

>>>ดูผลิตภัณฑ์ทั้งหมด<<<

Sunblock : ซันบล๊อค


Image Hosted by ImageShack.us
ขนาด 150 กรัม
ราคา 1,900 บาท
ราคาสมาชิก 1,520 บาท (25 PV)


รายละเอียด
"ปกป้องผิวจาการถูกทำลาย และความร่วงโรยก่อนเวลาอันควร และอันตรายที่เกิดจากแสงแดดด้วยสูตรอ่อนโยน สารมารถใช้ได้ทุกวัน อุดมด้วยแร่ธาตุธรรมชาติซึ่งช่วยปกป้องจากรังสี ยูวีเอ และ ยูวีบี รวมทั้งสารสกัดจากพืชธรรมชาติที่บำรุงผิวให้แลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ"

คุณประโยชน์
ครีมกันแดด ปกป้องผิวจากแสงอุตราไวโอเลตได้ดีมีค่า SPF 46 ป้องกันรังสี UVA และ UVB ปกป้องผิว ป้องกันมะเร็งผิวหนัง สูตรปราศจากน้ำมันจึงไม่เหนียวเหนอะ ซึมเร็ว ไม่ไหลเยิ้ม ไม่เป็นสาเหตูของการเกิดสิว ทาทาเนียม ไดออกไซด์ มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันรังสียูวีเอ และ ยูวีบี ที่ได้รับการยอมรับว่าอ่อนโยนต่อทุกสภาพผิว ช่วยป้องกันผิวของคุณจากแสงแดดได้นานถึง 7 ชั่วโมง ผลิตโดยเทคโนโลยีอันทันสมัย สามารถซึมลึกสู่ผิวพรรณได้อย่างรวดเร็ว ป้องกันผิวที่ถูกทำลายจากความร้อน ใช้ได้ทั้งผิวหน้าและทุกส่วนของร่างกาย

วิธีใช้
ทำความสะอาดผิวให้สะอาด ทาครีม Sun Block ลงบนผิวที่ต้องการปกป้องจากแสงแดดให้ทั่วบริเวฯใบหน้า คอ หรือบริเวณไหล่ แขน ใช้ปลายนิ้วตบเบา ๆ จนเนื้อครีมค่อย ๆ ซึมลึกลงสู่ผิว

คำแนะนำ
- การดูแลถนอมผิวพรรณใบหน้าและร่างกาย ควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงโดยตรงเป็นเวลานาน อาจเกิดผิวแพ้เป็นฝ้า กระ รอยหมองคล้ำ ริ้วรอยก่อนวัยและเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ ควรทาครีมก่อนออกแดดหรือลงน้ำอย่างน้อย 30 นาที

**สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม โทร. 080-9931869 (จุ๊) ตลอด 24 ช.ม.**


Green Tea Oil : กรีนที ออยล์


Image Hosted by ImageShack.us
ขนาด 80 มิลลิลิตร
ราคา 2,490 บาท
ราคาสมาชิก 1,990 บาท (30 PV)


รายละเอียด
“น้ำมันชาเขียว กรีน ที ออยล์ สูตรเข้มข้นรายแรกของโลกที่มีน้ำมัน Soluble Catechin ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพผิวชนิดแรกที่มีส่วนผสมของ Catechin ซึ่งละลายในน้ำมัน Co Co Green เป็นรายแรกของโลก สีเขียวของ Green Tea Oil ซึ่งได้จากธรรมชาติและน้ำหอมที่ได้มาจากน้ำมันใบชาเขียว ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ สามารถใช้ได้กับร่างกาย ผิวพรรณตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และใช้ได้กับทุกคนในครอบครัว"

คุณประโยชน์
- ปกป้องผิวจากรังสี UV ต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดีมาก
- คงความชุ่มชื้น ซึมซาบสู่ผิวได้เร็ว รู้สึกได้ถึงความสดใส เนียนเรียบและตึง กระชับได้อย่างน่าทึ่ง
- เผยผิวใหม่ที่สมบูรณ์แบบ เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว
- ฟื้นฟูผิว ขจัดลบเลือนริ้วรอย และช่วยให้รูขุมขนเล็ก กระชับ
- เผาผลาญไขมัน และลดเซลล์ลูไลต์
- ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ใช้ได้กับผู้ที่เป็นสิว
- ขจัดกลิ่นเท้า และกลิ่นตัว
- บำรุงผม เพิ่มประกายเงางาม นุ่มนวล และลื่นสลวย


ส่วนประกอบ
- Green tea extract
- Jojoba Oil
- Olive Oil [Squalane]
- Onut Oil
- Pure natural
- Vitamin E


วิธีรับใช้
- หลังจากทำความสะอาดผิว หยดกรีน ที ออยล์ 3-4 หยด ทาบริเวณผิวหน้าและลำคอทุกเช้า-เย็น สามารถใช้ทาบริเวณรอบดวงตา ช่วยลดรอยบวมคล้ำ และริ้วรอยรอบๆดวงตา
- หลังจากสระผม ( ขณะผมเปียก ) หยด 3-4 หยด นวดลงบนผมและหนังศีรษะ แล้วพันด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นบิดพอหมาดทิ้งไว้ โดยไม่ต้องล้างออก
- ทาบริเวณหน้าท้อง ก้น สะโพกและต้นขา วันละ 2 ครั้ง นวดเป็นวงกลมจนกระทั่งลงสู่ผิว


คำแนะนำ
- สามารถใช้ได้กับทุกคน ทุกเวลา และทุกส่วนของร่างกาย
- สามารถใช้ได้กับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอื่นๆได้
- ห้ามรับประทาน


**สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม โทร. 080-9931869 (จุ๊) ตลอด 24 ช.ม.**


AB Gold Cleansing Bar : อะบอริจินอล โกลด์ คลีนซิ่ง บาร์


Image Hosted by ImageShack.us
ขนาด 100 กรัม
ราคา 390 บาท
ราคาสมาชิก 310 บาท (5 PV)


รายละเอียด
“สบู่ที่มีส่วนผสมของ Centipeda Cunninghammii & Tea Tea Oil ซึ่งทำหน้าที่ในการผ่อนคลายไม่แห้งตึงและลดสิว และ Grape fruit & Lavender ซึ่งช่วยในการทำความสะอาดผิวและให้กลิ่นหอมสดชิ่น อ่อนโยนต่อผิวที่บอบบาง แพ้ง่าย และไม่มีส่วนผสมของสารเคมีใดๆ”

คุณประโยชน์
- ส่วนผสมหลักได้จากพืชที่ชื่อ เว็นติเปดา คันนึ่งกามิอิ (Centipeda Cunninghammii) และที ที ออยล์ ช่วยให้ผิวรู้สึกสบายและผ่อนคลายไม่แห้งตึง ช่วยลดสิว
- เกรฟฟรุตและลาเวนเดอร์ ช่วยทำความสะอาดผิวทำให้กลิ่นหอมสดชื่น อ่อนโยนต่อผิวที่บอบบาง
- เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะผู้ผิวแห้ง แห้ง่าย
- สามารถใช้ได้ตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า


**สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม โทร. 080-9931869 (จุ๊) ตลอด 24 ช.ม.**


Mineral Mask : มิเนอรัล มาร์ค


Image Hosted by ImageShack.us
1 กล่อง บรรจุ 5 / 15 ซอง
ราคา 810 / 2,340 บาท
ราคาสมาชิก 650 / 1,870 บาท (11 / 35 PV)


รายละเอียด
"ผลิตภัณฑ์ดูแลและแก้ปัญหาผิวพรรณ ที่มีคุณสมบัติช่วยขจัดสิ่งสกปรกอุดตันผิวฟื้นฟูผิวให้กระชับ เรียบเนียน แลดูอ่อนเยาว์ จากความพยายามในการหาวิธีคงความอ่อนเยาว์นั้น แทบไม่มีข้อกำจัดใด ๆ เลยสำหรับผู้ที่ใส่ใจดูแลสุขภาพผิว ยูนิซิตี้ และศัลยแพทย์ความงามชั้นแนวหน้าในสหรัฐอเมริกาที่มีมีความคุ้นเคยกับนวัต กรรมใหม่ ๆ จากทั่วโลก จึงร่วมกันคิดค้นและพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลแลแก้ปัญหาผิวพรรณ (Skin Treatment) เพื่อการดูแลผิวโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีปัญหา ริ้วรอย รอยย่น และผิวขาดความกระชับด้วนส่วนผสมที่เกิดจากการผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยี อันทันสมัยกับส่วนผสมพิเศษจากธรรมชาติ จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดูแลผิวและช่วยฟื้นฟูผิวให้แลดูอ่อนเยาว์อย่างเห็นได้ ชัดโดยปราศจากขั้นตอนที่ยุ่งยาก มิเนอรัล มาส์ค (Mineral Mask) ยกกระชับหน้า เห็นผลใน 20 นาที"

คุณประโยชน์
- มาร์ค ยกกระชับหน้า โดยไม่ต้องศัลยกรรม เห็นผลทันทีตั้งแต่ครั้งแรก
- ผลิตภัณฑ์เพื่อคงความอ่อนเยาว์ให้ผิวตลอดเวลา (Anti-Aging)
- ผลิตภัณฑ์เพื่อดูแล แก้ปัญหาผิวโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับกลุ่มที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิว
- ช่วยขจัดริ้วรอย ผิวยกกระชับ ผิวพรรณเต่งตึง สวยสดใส
- ผงมาร์คผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย กับส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติ 100%


ส่วนประกอบ
ประกอบด้วยส่วนผสมของแร่ธาตุกว่า 20 ชนิด (Exclusive desert minerals) จากทะเลทรายโมฮาวี โดยมีแร่ธาตุหลัก คือ ทองแดง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพิ่มความแข็งแรงและทำให้ผิวกระชับ, แคลเซียมคาร์บอเนท ช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และรักษาสมมดุลของผิวให้ดูชุ่มชื้นอยู่เสมอ, ธาตุเงิน ช่วยทำความสะอาดผิวดอย่างเป็นธรรมชาติ ขจัดสิ่งสกปรกอุดตันรูขุมขน

วิธีใช้
ล้างหน้าให้สะอาดเติมน้ำลงในผงมิเนอรัลมาร์ค ทีละน้อย คนให้เข้ากัน ใช้แปรงทาให้ทั่วบริเวณใบหน้า (เว้นบริเวณรอบดวงตา โดยทาย้อนขึ้น ใช้ได้ทั้ง ใบหน้า หน้าอก คอ น่อง แขน ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที รอจนแห้งจึงล้างออก หลังการมาร์ค บำรุงผิวขั้นตอนต่อไปด้วยเครื่องสำอางปกติได้ทุกชนิด รวมทั้งครึมกันแดด

คำแนะนำ
- เพื่อถนอมผิวให้ดูเปล่งปลั่ง ยกกระชับ สวยสดใส ดูอ่อนกว่าวัย ควรจะมาร์คใบหน้าและส่วนต่าง ๆ ของร่างกายสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ( 1 ซอง ใช้ได้ประมาณ 4-5 ครั้ง)

**สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม โทร. 080-9931869 (จุ๊) ตลอด 24 ช.ม.**


Retinal System : เรตินอล ซีสเต็ม

Be Complete Eye Care : บี คอมพลีท อาย แคร์


Image Hosted by ImageShack.us
ขนาด 15 มิลลิลิตร
ราคา 1,985 บาท
ราคาสมาชิก 1,590 บาท (30 PV)


รายละเอียด
"บี คอมพลีท อาย แคร์ บำรุงรอบดวงตา"

คุณประโยชน์
- ครีมบำรุงที่ตอบสนองความต้องการอันละเอียดอ่อนของผิวบริเวณรอบดวงตา
- ด้วยเนื้อเจลกึ่งครีมที่บางเบาซึ่งอุดมด้วย เพพไทด์ เทคโนโลยี (Peptide Technology)
- และส่วนผสมจากสมุนไพรสกัด 12 ชนิดช่วยลดเลือนริ้วรอยจากจุดด่างดำ
- ริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ และริ้วรอยลึก ในขณะเดียวกันยังเติมความชุ่มชื้น และนำผิวคืนสู่สภาพเรียบเนียน
- ปราศจาริ้วรอยแห่งวัย ทำให้ใบหน้าดูสดสวยใส


**สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม โทร. 080-9931869 (จุ๊) ตลอด 24 ช.ม.**


ชุด Be 7 ชิ้น (ผิวธรรมดา-ผิวแห้ง)


Image Hosted by ImageShack.us
1 ชุด มี 7 ชิ้น
ราคา 10,325 บาท
ราคาสมาชิก 8,260 บาท (140 PV)


รายละเอียด
"ชุดดูแลผิวที่สมบูรณ์แบบของ Be (สำหรับผิวธรรมดา-ผิวผสม/ผิวมัน)"
ประกอบ ด้วย 7 ผลิตภัณฑ์ ช่วยรักษาสมดุลให้กับผิวธรรมดา ผิวผสม หรือผิวมันด้วย ครีมมี่ คลีนเซอร์, โฟมมิ่ง คลีนเซอร์, แมททีฟายอิ้งรีฟายเนอร์, เดย์ เอเนอจี้ ซีรั่ม, เดย์ เวลล์ครีม, ไนท์ รีคัฟเวอรี่ ซีรั่ม, ไนท์ นูริชชิ่งครีม


วิธีใช้
ขั้นที่ 1 ทำความสะอาด (CLEANSE)
- ครีมมี่ คลีนเซอร์
"ปรนนิบัติ ผิว ในขั้นตอนแรกด้วยเนื้อครีมที่ปราศจากส่วนผสมของสบู่พร้อมด้วยพฤกษาธรรมชาติ ล้ำค่ากว่า 15 ชนิด ประกอบด้วย ลิโคริช, ข้าวโอ๊ต, ใบเบร์ช, และสารสกัดจากดอกคาโมมายด์ ช่วยทำความสะอาดผิวหน้าและคราบเครื่องสำอางอย่างอ่อนโยน ทำให้ผิวนุ่มนวล ผ่อนคลาย และคืนความชุ่มชื้นสู่ผิวหน้าพร้อมกลิ่นหอมธรรมชาติ
- โฟมมิ่ง คลีนเซอร์
คืนความสดใส ให้ผิวคุณพร้อมปลุกผิวให้ตื่นรับความสดชื่น ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า ซึ่งอุดมด้วยคุณค่าจากสารสกัดของเอนไซม์สับปะรด ช่วยขจัดเซลล์ผิวส้มและมะนาวเข้มข้นช่วยทำความสะอาดผิวหน้าจากน้ำมันส่วน เกินและคราบเครื่องสำอาง พร้อมกลิ่นหอมสดชื่นของสารสกัดจากธรรมชาติ ทำให้ผิวของคุณสดชื่นขึ้น

Step 2 ปรับสภาพผิว (REFINE)
- แมททีฟายอิ้ง รีฟายเนอร์
โลชั่นปรับสภาพผิวพร้อมกระชันรูขุมขน สำหรับผิวผสม-ผิวมัน อ่อนโยนต่อผิวพรรณด้วยสูตรปราศจากแอลกอฮอล์ ควบคุมความมันส่วนเกินของผิว อุดมด้วนคุณค่าของสารสกัดจากชาอูหลง สารสกัดจากเมล็ดฟักทอง คาโมมายด์ และลูกนัท

Step 3 กระตุ้นผิว (ACTIVATE)
- เดย์ เอนเนอร์จี้ ซีรั่ม
เพิ่มพลังให้แก่ผิวหน้า ด้วยคุณค่าสารสกัดจากโสม ใบแปะก๊วย วิตามินซี และแอคตอย (ดอกไม้จากทะเลแถบประเทศอียิปต์) ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวต่อต้านมลภาวะต่าง ๆ และรังสียูวี ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดอนุมูลอิสระ และริ้วรอยแห่งวัย ให้ผิวกระจ่างใสและมีสุขภาพดี
- ไนท์ รีคัฟเวอรี่ ซีรั่ม
ปลอบประโลมผิวหน้าให้คลายจากความเหนื่อยล้าและความเครียดได้ภายในชั่วข้ามคืน ด้วยคุณค่าจากส่วนผสมของสารสกัดน้ำมันดอกอีฟนิ่งพริมโรส, ไทโคไตรอีนอล, อินทผลัม ช่วยฟื้นฟูซ่อมแซมและปรับสภาพผิวในช่วงเวลากลางคืน ช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากความเครียดได้ ตลอดค่ำคืนของการพักผ่อน

Step 4 บำรุงและคืนความชุ่มชื้นให้ผิว (Moisturizing)
- เดย์เวลล์ ครีม
การบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นในแต่ละวันเป็นสิ่งจำเป็นต่อผิว ที่มีสุขภาพดี ซึ่งเดย์ เวลล์ ครีม อุดมไปด้วยสารสกัดจากพฤกษาธรรมชาติมากมาย ประกอบด้วยสารสกัดจากเมล็ดองุ่น, โฟลีฟินอล, ลิโคริช และสารสกัดจากสาหร่ายทะเล ช่วยรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของผิวในขณะเดียวกันช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและมล ภาวะต่าง ๆ
- ไนท์ นูริชชิ่ง ครีม
ด้วยส่วนผสมของสารอาหารจากดอกไม้นานาพันธุ์และวิตามินที่บำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก อีกทั้งยังซ่อมแซม และป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิวตลอดคืน ผิวของคุณจะคงความนุ่มนวล แลดูสดใสในยามเช้า

**สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม โทร. 080-9931869 (จุ๊) ตลอด 24 ช.ม.**


ชุด Be 7 ชิ้น (ผิวธรรมดา-ผิวผสม-ผิวมัน)


Image Hosted by ImageShack.us
1 ชุด มี 7 ชิ้น
ราคา 10,325 บาท
ราคาสมาชิก 8,260 บาท (140 PV)


รายละเอียด
"ชุดดูแลผิวที่สมบูรณ์แบบของ Be (สำหรับผิวธรรมดา-ผิวผสม/ผิวมัน)"
ประกอบ ด้วย 7 ผลิตภัณฑ์ ช่วยรักษาสมดุลให้กับผิวธรรมดา ผิวผสม หรือผิวมันด้วย ครีมมี่ คลีนเซอร์, โฟมมิ่ง คลีนเซอร์, แมททีฟายอิ้งรีฟายเนอร์, เดย์ เอเนอจี้ ซีรั่ม, เดย์ เวลล์โลชี่น, ไนท์ รีคัฟเวอรี่ ซีรั่ม, ไนท์ นูริชชิ่งโลชั่น


วิธีใช้
ขั้นที่ 1 ทำความสะอาด (CLEANSE)
- ครีมมี่ คลีนเซอร์
"ปรนนิบัติ ผิว ในขั้นตอนแรกด้วยเนื้อครีมที่ปราศจากส่วนผสมของสบู่พร้อมด้วยพฤกษาธรรมชาติ ล้ำค่ากว่า 15 ชนิด ประกอบด้วย ลิโคริช, ข้าวโอ๊ต, ใบเบร์ช, และสารสกัดจากดอกคาโมมายด์ ช่วยทำความสะอาดผิวหน้าและคราบเครื่องสำอางอย่างอ่อนโยน ทำให้ผิวนุ่มนวล ผ่อนคลาย และคืนความชุ่มชื้นสู่ผิวหน้าพร้อมกลิ่นหอมธรรมชาติ
- โฟมมิ่ง คลีนเซอร์
คืนความสดใส ให้ผิวคุณพร้อมปลุกผิวให้ตื่นรับความสดชื่น ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า ซึ่งอุดมด้วยคุณค่าจากสารสกัดของเอนไซม์สับปะรด ช่วยขจัดเซลล์ผิวส้มและมะนาวเข้มข้นช่วยทำความสะอาดผิวหน้าจากน้ำมันส่วน เกินและคราบเครื่องสำอาง พร้อมกลิ่นหอมสดชื่นของสารสกัดจากธรรมชาติ ทำให้ผิวของคุณสดชื่นขึ้น

Step 2 ปรับสภาพผิว (REFINE)
- แมททีฟายอิ้ง รีฟายเนอร์
โลชั่นปรับสภาพผิวพร้อมกระชันรูขุมขน สำหรับผิวผสม-ผิวมัน อ่อนโยนต่อผิวพรรณด้วยสูตรปราศจากแอลกอฮอล์ ควบคุมความมันส่วนเกินของผิว อุดมด้วนคุณค่าของสารสกัดจากชาอูหลง สารสกัดจากเมล็ดฟักทอง คาโมมายด์ และลูกนัท

Step 3 กระตุ้นผิว (ACTIVATE)
- เดย์ เอนเนอร์จี้ ซีรั่ม
เพิ่มพลังให้แก่ผิวหน้า ด้วยคุณค่าสารสกัดจากโสม ใบแปะก๊วย วิตามินซี และแอคตอย (ดอกไม้จากทะเลแถบประเทศอียิปต์) ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวต่อต้านมลภาวะต่าง ๆ และรังสียูวี ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดอนุมูลอิสระ และริ้วรอยแห่งวัย ให้ผิวกระจ่างใสและมีสุขภาพดี
- ไนท์ รีคัฟเวอรี่ ซีรั่ม
ปลอบประโลมผิวหน้าให้คลายจากความเหนื่อยล้าและความเครียดได้ภายในชั่วข้ามคืน ด้วยคุณค่าจากส่วนผสมของสารสกัดน้ำมันดอกอีฟนิ่งพริมโรส, ไทโคไตรอีนอล, อินทผลัม ช่วยฟื้นฟูซ่อมแซมและปรับสภาพผิวในช่วงเวลากลางคืน ช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากความเครียดได้ ตลอดค่ำคืนของการพักผ่อน

Step 4 บำรุงและคืนความชุ่มชื้นให้ผิว (Moisturizing)
- เดย์เวลล์ โลชั่น
การบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นในแต่ละวันเป็นสิ่งจำเป็นต่อผิว ที่มีสุขภาพดี ซึ่งเดย์ เวลล์ โลชั่น อุดมไปด้วยสารสกัดจากพฤกษาธรรมชาติมากมาย ประกอบด้วยสารสกัดจากเมล็ดองุ่น, โฟลีฟินอล, ลิโคริช และสารสกัดจากสาหร่ายทะเล ช่วยรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของผิวในขณะเดียวกันช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและมล ภาวะต่าง ๆ
- ไนท์ นูริชชิ่ง โลชั่น
ด้วยส่วนผสมของสารอาหารจากดอกไม้นานาพันธุ์และวิตามินที่บำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก อีกทั้งยังซ่อมแซม และป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิวตลอดคืน ผิวของคุณจะคงความนุ่มนวล แลดูสดใสในยามเช้า

**สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม โทร. 080-9931869 (จุ๊) ตลอด 24 ช.ม.**


Night Nourishing Lotion : ไนท์นูริชชิ่ง โลชั่น


Image Hosted by ImageShack.us
ขนาด 30 มิลลิลิตร
ราคา 2,125 บาท
ราคาสมาชิก 1,700 บาท (30 PV)


รายละเอียด
"ไนท์ นูริชชิ่ง ครีม Hydrate บำรุงและคืนความชุ่มชื้นให้ผิว"

คุณประโยชน์
- ผลิตภัณฑ์ บำรุงผิวและคืนความชุ่มชื้นให้ผิว จากสารสกัดพฤกษาธรรมชาติ
- ช่วยบำรุงในแต่ละวัน ทำให้ผิวมีสุขภาพดี
- สารสกัดและส่วนผสมของสารอาหารจากดอกไม้นานาพันธุ์และวิตามินซ่อมแซมผิว บำรุงผิวได้ล้ำลึก
- ช่วยป้องกันผิวจากการสูญเสียความชุ่มชื้นตลอดคืน ช่วยให้ผิวได้พักผ่อนระหว่างการนอนหลับ
- ให้ความนุ่มนวล และสดใสกับผิวในยามเช้า


**สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม โทร. 080-9931869 (จุ๊) ตลอด 24 ช.ม.**


Night Nourishing Cream : ไนท์นูริชชิ่ง ครีม


Image Hosted by ImageShack.us
ขนาด 30 มิลลิลิตร
ราคา 2,125 บาท
ราคาสมาชิก 1,700 บาท (30 PV)


รายละเอียด
"ไนท์ นูริชชิ่ง ครีม Hydrate บำรุงและคืนความชุ่มชื้นให้ผิว"

คุณประโยชน์
- ผลิตภัณฑ์ บำรุงผิวและคืนความชุ่มชื้นให้ผิว จากสารสกัดพฤกษาธรรมชาติ
- ช่วยบำรุงในแต่ละวัน ทำให้ผิวมีสุขภาพดี
- สารสกัดและส่วนผสมของสารอาหารจากดอกไม้นานาพันธุ์และวิตามินซ่อมแซมผิว บำรุงผิวได้ล้ำลึก
- ช่วยป้องกันผิวจากการสูญเสียความชุ่มชื้นตลอดคืน ช่วยให้ผิวได้พักผ่อนระหว่างการนอนหลับ
- ให้ความนุ่มนวล และสดใสกับผิวในยามเช้า


**สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม โทร. 080-9931869 (จุ๊) ตลอด 24 ช.ม.**


Day Veil Lotion : เดย์ เวลล์ โลชั่น


Image Hosted by ImageShack.us
ขนาด 30 มิลลิลิตร
ราคา 1,875 บาท
ราคาสมาชิก 1,500 บาท (25 PV)


รายละเอียด
"เดย์ เวลล์ โลชั่น Hydrate บำรุงและคืนความชุ่มชื้นให้ผิว""

คุณประโยชน์
- ผลิตภัณฑ์ บำรุงผิวและคืนความชุ่มชื้นให้ผิว จากสารสกัดพฤกษาธรรมชาติ
- ช่วยบำรุงในแต่ละวัน ทำให้ผิวมีสุขภาพดี
- สารสกัดจากเมล็ดองุ่น, โฟลีนอล, ลิโคริช และสารสกัดจากสาหร่ายทะเลลึก คุณสมบัติพิเศษในการช่วยบำรุงให้ผิว มีความชุ่มชื้นขึ้นจนคุณสัมผัสได้
- ช่วยปรับและรักษาสมดุล ดูแลให้ความชุ่มชื้นกับผิว
- ช่วยปกป้องผิวจากรังสีอุลตราไวโอเลตจากแสงแดด และมลภาวะต่าง ๆ ที่ทำลายผิวในชีวิตประจำวัน


**สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม โทร. 080-9931869 (จุ๊) ตลอด 24 ช.ม.**


Day Veill Cream : เดย์ เวลล์ ครีม


Image Hosted by ImageShack.us
ขนาด 30 มิลลิลิตร
ราคา 1,875 บาท
ราคาสมาชิก 1,500 บาท (25 PV)


รายละเอียด
"เดย์ เวลล์ ครีม Hydrate บำรุงและคืนความชุ่มชื้นให้ผิว"

คุณประโยชน์
- ผลิตภัณฑ์ บำรุงผิวและคืนความชุ่มชื้นให้ผิว จากสารสกัดพฤกษาธรรมชาติ
- ช่วยบำรุงในแต่ละวัน ทำให้ผิวมีสุขภาพดี
- สารสกัดจากเมล็ดองุ่น, โฟลีนอล, ลิโคริช และสารสกัดจากสาหร่ายทะเลลึก คุณสมบัติพิเศษในการช่วยบำรุงให้ผิว มีความชุ่มชื้นขึ้นจนคุณสัมผัสได้
- ช่วยปรับและรักษาสมดุล ดูแลให้ความชุ่มชื้นกับผิว
- ช่วยปกป้องผิวจากรังสีอุลตราไวโอเลตจากแสงแดด และมลภาวะต่าง ๆ ที่ทำลายผิวในชีวิตประจำวัน


**สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม โทร. 080-9931869 (จุ๊) ตลอด 24 ช.ม.**


Night Recovery Serum : ไนท์ รีคัฟเวอรี่ เซรั่ม


Image Hosted by ImageShack.us
ขนาด 15 มิลลิลิตร
ราคา 2,635 บาท
ราคาสมาชิก 2,106 บาท (40 PV)


รายละเอียด
- "This potent elixir relieves the visible signs of stress and fatigue overnight. Evening primrose oil, tocotrienols, and date palm extract intensify the skin's nighttime renewal process, increasing cellular respiration and the release of cell toxins so skin looks smoother, firmer, and renewed each morning."

**สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม โทร. 080-9931869 (จุ๊) ตลอด 24 ช.ม.**


Day Energy Serum : เดย์ เอเนอร์จี้ ซีรั่ม


Image Hosted by ImageShack.us

ขนาด 15 มิลลิลิตร
ราคา 2,635 บาท
ราคาสมาชิก 2,106 บาท (40 PV)


รายละเอียด
"เดย์ เอเนอร์จี้ ซีรั่ม ฟื้นฟูสภาพผิวและช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว"

คุณประโยชน์
- ช่วยเพิ่มพลังและกระตุ้นผิวหน้า ที่อุดมด้วยสารสกัดจากพฤกษานานาชนิด
- สารสกัดจากโสม ใบแปะก๊วย วิตามินซี เป็นสารสกัดอันทรงคุณค่าช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวให้ดูสวยสดใส
- สารสกัดจากแอคตอย (ดอกไม้จากทะเลแถบประเทศอียิปต์) เสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิว
- ช่วยผิวต่อต้านมลภาวะต่าง ๆ และรังสียูวี ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดอนุมูลอิสระ
- ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด อันเป็นเหตุให้เกิดริ้วรอยแห่งวัย เผยผิวสาวสวย กระจ่างใส
- เดย์ เอเนอร์จี้ ซีรั่ม ใช้สำหรับฟื้นฟูทุกสภาพผิว ในเวลากลางวัน


**สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม โทร. 080-9931869 (จุ๊) ตลอด 24 ช.ม.**


คลังบทความของบล็อก